สถานการณ์ “มหาอุทกภัย” ที่มีความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ “เมืองหาดใหญ่” จมอยู่ใต้บาดาล มีพี่น้องประชาชนนับแสนติดค้างอยู่ในบ้าน และอาคาร ไม่ว่าจะด้วย “ตื่นภัยช้า” หรือ “ไม่ออกมา”แต่เสียงสะท้อนของกลุ่มนักวิชาการและคนเข้าไปร่วมกู้ภัยพื้นที่มองว่า ต้นตอที่ทำให้วิกฤติทวีความวิกฤติหนักขึ้นไปอีก เกิดจากการรับมือของรัฐบาล “ชะล่าใจ” และ “ไม่เตรียมพร้อม” ทำให้การเข้าอพยพผู้คนไม่ทันกลายเป็นผู้ประสบภัยคำสั่ง “อพยพ” เป็นภาพความโกลาหลหนัก เพราะมีเพียงแค่คำสั่งให้อพยพผู้คนออกจากบ้านในช่วงเวลาไม่นาน แต่ไม่ได้มีแนวทางจัดที่พักพิงรองรับผู้ประสบอุทกภัย ทำให้เกิดภาวะ “ขาดน้ำ-ขาดอาหาร-ไม่มีไฟฟ้า”สิ่งที่เห็นช่วงแรกเป็นการช่วยเหลือจากกลุ่มจิตอาสา ดารา คนดัง กู้ภัย ที่เคยมีส่วนช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนร่วมกันบริจาคสิ่งของจำเป็น ตั้งโรงทาน นำเรือ เจ็ตสกี มาอพยพผู้คน ส่งอาหาร ก่อนเจ้าหน้าที่รัฐเข้าพื้นที่อีกคนมองว่าคำสั่ง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) เกิดหลังมีภาพผู้ประสบภัยจำนวนมากติดค้างอยู่ในบ้าน อาคาร วอนขอความช่วยเหลือเป็นภาพที่ออกจากทุกสื่อสิ่งที่น่าจดจำและถือเป็น “บทเรียน” ทำให้พี่น้องคนไทยได้คิดจากเหตุ “น้ำท่วมใหญ่สงขลา” รอบนี้คือหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมารับผิดชอบเหตุภัยพิบัติมี “ศักยภาพ” เพียงพอไหมกับการรับมือสถานการณ์วิกฤติของชาติรัฐมนตรี นักการเมือง “ปากเก่ง” ที่มีบทบาทอยู่ใน “สื่อออนไลน์” เคยให้ความสนใจลงมาช่วยประชาชนยามที่เดือดร้อน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจของรัฐบาล เจ้าหน้าที่ และ สส. (หาเสียงเฉพาะเลือกตั้ง)“ความหวังที่พึ่งได้” ของผู้ประสบภัย ไม่ใช่นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นกู้ภัย ดารา จิตอาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือ เรียกร้องกดดันรัฐบาลลงมาในพื้นที่ แม้หลายคนเคยถูกนักการเมืองวิจารณ์มาหนักหนาสาหัสกลับเป็นคนแรกๆที่ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้าน.“เพลิงพยัคฆ์”pluengpayak@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “เลขที่1 วิภาวดีฯ” เพิ่มเติม