ประเทศไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจขนานใหญ่ เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ล้าสมัย ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นี่เป็นคำพูดที่ได้ยินมานับสิบปี ตั้งแต่ช่วงต้นรัฐบาล คสช. แต่จนป่านนี้ยังก้าวไม่ถึงบันไดขั้นแรกด้วยซ้ำ แถมยังต้องรับมือสงครามการค้า ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาสังคมสูงวัย และขาดแคลนแรงงานนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล และ ขุนคลังเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ จะปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลาง ด้วยยุทธศาสตร์ ลดการขาดดุลต่อเนื่อง โดยปีงบประมาณ 2571-2573 จะขาดดุล 3.3%, 2.7% และ 2.1% ตามลำดับ ควบคู่กับการรักษา เสถียรภาพหนี้สาธารณะ และอาศัยการขยายตัวของจีดีพี เพื่อให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีอยู่ในระดับที่บริหารได้ แต่เป้าหมายเหล่านี้จะสำเร็จได้อย่างไรหาก ค่าเงินบาท ยังแข็งอยู่ไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว เมื่อค่าเงินบาทแข็ง สินค้าไทยย่อมดูแพงขึ้นในสายตาผู้ซื้อ ทั้งข้าว ยางพารา อาหารทะเลแปรรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ไม่มีทางขายของสู้คู่แข่งประเทศอื่นได้หรือหากเปรียบเทียบเที่ยวไทยกับเที่ยวญี่ปุ่น ทั้งคู่เหมือนกันตรงที่แทบไม่มีเดสติเนชันใหม่เลย แต่คนแห่ไปเที่ยวญี่ปุ่นล้นทะลักเพราะค่าเงินเยนอ่อน ของถูก ขณะที่ค่าเงินบาทไทยแข็ง ของทุกอย่างแพงไปหมด แล้วจะมีใครอยากมาเที่ยวภาคเอกชนรู้อยู่เต็มอกว่าการทำให้ค่าเงินบาทอ่อนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่มีไม่กี่คนที่กล้าส่งเสียงดังๆไปถึงรัฐบาล ผมบังเอิญได้อ่านโพสต์เฟซบุ๊กของ คุณเศรษฐวุฒิ อังคีรสคุปต์ กระเษียรอภิบาล นักลงทุนอิสระที่เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงตลาดทุน ได้แนะ ทางรอด “ก้าวแรก” ให้เศรษฐกิจพ้นวิกฤติได้อย่างสนใจ เลยขอเอามาแชร์ต่อคุณเศรษฐวุฒิระบุว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้เหมือนคนไข้ที่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทุกคนบอกว่าต้องปรับโครงสร้าง เพิ่มผลิตภาพ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ นั่นคือหัวใจของเรื่องนี้ แต่ก่อนจะไปผ่าตัดหัวใจ ถ้าเราขาดอากาศหายใจตายไปก่อนก็เป็นอันจบเห่ เปรียบไปแล้ว “ค่าเงิน” ก็คือ “ออกซิเจน” ค่าเงินที่มันอ่อนพอ จะทำให้เศรษฐกิจเริ่มขยับ ค่าเงินที่แข็งเกินไป เศรษฐกิจไทยจะหยุดหายใจ ขาดอากาศ ตายคาเตียงถ้าเรามีค่าเงินบาทที่หายใจได้ คนไข้ที่ชื่อเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเริ่มหายใจได้เอง เมื่อนั้นแหละคือเวลาที่ได้ลุกขึ้นมาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องไม่ลืมว่าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนอกจากใช้เวลาและความพยายามมากแล้ว ยังต้องใช้เงินด้วย ถ้าเรายังไม่เติมเงินเข้าในระบบทั้งจากภายนอกและภายใน ก็ยากที่เอกชนจะมีเงินพอเอาไปลงทุน ปรับปรุงพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ดูอย่างประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านเหตุการณ์เงินฝืดมาได้ แม้ญี่ปุ่นทำอะไรหลายอย่างก็จริง แต่ก้าวแรกคือการแก้ปัญหาค่าเงินเยนแข็งเมื่อไม่นานมานี้ในระหว่างที่ ผู้กำกับดูแลเศรษฐกิจไทย กำลังพูดกับผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนต่างประเทศ มีคำถามขึ้นมาว่ามองเรื่องค่าเงินบาทอย่างไร คำตอบที่ได้คือเราเชื่อใน ตลาดเสรี หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่คิด แทรกแซงค่าเงิน ซึ่งท่านคงคิดว่าเป็นคำตอบที่ดี แต่ในโลกจริงไม่ใช่ตำราเศรษฐศาสตร์ปี 1 ตลาดเงินของหลายประเทศไม่ใช่ Free Market แต่มันคือ Policy Driven Marketญี่ปุ่น เกาหลี จีน ค่าเงินอ่อนเพราะนโยบาย เวียดนามกับอินโดนีเซียแข่งค่าเงินกันด้วยนโยบาย มีแค่ประเทศไทยที่ทำเหมือนค่าเงินเป็นเรื่องปล่อยตามยถากรรม แล้วบอกว่าทุกอย่างกำลังควบคุมได้ ทั้งที่ real sector หายใจอย่างยากลำบากมาเป็นปีแล้วค่าเงินเป็นเครื่องมือที่ประเทศอื่นใช้เป็นเรื่องปกติ แต่ไทยกลับกลัว เราไม่ต้องกดบาทให้พัง แค่ต้องกล้าทำให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจจริง เพราะต่อให้อยากปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมากแค่ไหน ถ้าค่าเงินบาทยังเป็นแบบนี้ เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่มีอากาศพอให้ลุกจากเตียงเลยด้วยซ้ำก็เป็นหนึ่งเสียงสะท้อนจากคนมีความรู้และประสบการณ์ หวังว่าผู้มีอำนาจจะเปิดใจรับฟังและพิจารณา แบงก์ชาติพูดเสมอว่าต้องรักษาเสถียรภาพค่าเงิน แต่ถ้ามีเสถียรภาพแล้วไร้การเติบโต จะมีประโยชน์อะไร สุดท้ายเสถียรภาพก็ไม่ยั่งยืน.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม