ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้ง ระหว่าง “ไทย” กับ “กัมพูชา”...จนเกิดการสู้รบกัน คนไทยจำนวนมากก็คงไม่รับรู้ว่าชายแดนด้านตะวันออก โดยเฉพาะที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จะเป็นทางผ่านของ “แก๊งสแกมเมอร์” “แก๊งคอลเซ็นเตอร์”...ที่มีคนหลายกลุ่มได้ประโยชน์กันมานานเกือบ 10 ปีแล้วตำบลที่มักปรากฏชื่อในข่าว หากมีการจับกุมการลักลอบข้ามแดนบ่อยที่สุด มักจะมีอยู่ 4 ตำบล คือ อรัญประเทศ ท่าข้าม คลองน้ำใส ผ่านศึก โดยเฉพาะตำบลผ่านศึกนั้น ช่วงหลังตั้งแต่การปิดด่าน...ว่ากันว่าขบวนการนำพาลักลอบข้ามแดน ก็ทำงานกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันบรรดาคนที่ใช้บริการขบวนการนำพาลักลอบข้ามแดนมี 3 กลุ่มหลักๆคือ แรงงานชาวกัมพูชาที่ลอบเข้ามาทำงานในไทย คนไทยที่ข้ามไปทำงานพนันออนไลน์...แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา และคนจีนที่เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา...ทั้งๆที่ทหารเองก็วางกำลังปิดกั้นชายแดนกันเข้มงวด แต่เหตุใดขบวนการนำพาลักลอบข้ามแดน จึงหาญกล้าลักลอบพาคนข้ามเข้าออกกัมพูชาเป็นว่าเล่น แบบไม่เกรงกลัวว่าจะถูกจับกุมได้ทีมข่าว “SEE TRUE” ไทยรัฐทีวีติดตามภารกิจของทหารหน่วยเล็กๆหน่วยหนึ่งที่เพิ่งถูกส่งไปอยู่ในพื้นที่ตำบลผ่านศึก ตั้งแต่ช่วงที่ไทยรบกับกัมพูชาจึงได้เห็นความเป็นไปของขบวนการเหล่านี้ด้วยตาตัวเองทหารหน่วยนี้ก็คือ ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 2 มาจากจังหวัดปราจีนบุรี ไปตั้งหน่วยเฉพาะกิจอยู่ที่ตำบลผ่านศึก ภารกิจหลักของพวกเขาคือป้องกันแนวชายแดนเป็นแนวที่ 2ถัดออกมาจากแนวของทหารพราน ซึ่งอยู่ประชิดพรมแดนที่สุด ส่วนภารกิจรองก็คือการเฝ้าระวังพื้นที่ชั้นใน ป้องกันฝ่ายตรงข้ามส่งสายลับปลอมตัวเข้ามาสืบที่ตั้งตำแหน่งทางทหารที่สำคัญ แต่อยู่ไปอยู่มา...ทหารหน่วยนี้กลับเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ปกติ นั่นคือมีคนลักลอบข้ามแดนที่ตำบลผ่านศึกกันแทบทุกวัน วันละหลายสิบคน มีทั้งคนกัมพูชา คนไทย และคนจีนน่าสนใจว่า...คนที่ลักลอบข้ามแดนเหล่านี้จะลักลอบข้ามกันเองไม่ได้เพราะไม่รู้พื้นที่ พวกเขาต้องใช้บริการขบวนการนำพาลักลอบข้ามแดน ซึ่งที่น่าตกใจ...ขบวนการเหล่านี้มีคนจากหลายวงการมาเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้นำชุมชนบางคน? ทหารพรานบางนาย? ตำรวจบางนาย? และไม่ใช่เพิ่งจะเริ่มทำกัน ผู้สังเกตการณ์ใคร่รู้ในพื้นที่ให้ข้อมูลมาว่า...ทำกันมาเกือบจะ 10 ปีแล้วเมื่อเห็นแบบนี้ ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 2 จึงซุ่มจับได้ทั้งคนที่ลักลอบข้ามแดนและคนของขบวนการนำพาได้หลายครั้ง คนลักลอบข้ามแดนที่จับได้มีทั้งคนกัมพูชา คนไทย และคนจีน ส่วนคนของขบวนการนำพาลักลอบข้ามแดนที่จับกุมได้..มีทั้งชาวบ้านที่ซัดทอดไปถึงผู้นำชุมชนระดับกำนัน และน่าตกใจที่ทหารชุดนี้ไปจับกุมทหารพรานนายหนึ่งได้ขณะกำลังนำรถเข้าไปรับคนที่ลักลอบข้ามมาจากกัมพูชาได้คาหนังคาเขา ซึ่งทหารพรานนายนี้สารภาพหมดว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้างซึ่งมีทั้งกำนัน สารวัตรกำนัน และตำรวจจากกองบังคับการตำรวจสืบสวนภูธรภาค 2ผู้สังเกตการณ์บางส่วนมีความเชื่อว่าสถานการณ์ในลักษณะนี้มีความซับซ้อนและดำเนินมานาน จนทำให้เกิดการเชื่อมโยง ผลประโยชน์ในลักษณะที่กว้างขวางเกินกว่าที่จะสามารถแก้ไขได้ง่าย ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่า..การปราบปรามหรือการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง ยังไม่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพประเด็นสำคัญมีอีกว่า..การเข้าไปเกี่ยวพันของคนจากหลายหน่วยงานที่อยู่ในขบวนการนำพาลักลอบข้ามแดน จึงทำให้คนในขบวนการนี้ไม่ได้หวั่นเกรงที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 2 พยายามจับกุมปราบปราม..ใช่หรือไม่? ข้อนี้นับเป็นอีก... คำถามสำคัญที่ยังต้องรอคำตอบจากผู้ที่เกี่ยวข้องซ้ำร้าย...ขบวนการนี้ยังเหิมเกริมกล้าท้าทายทหารที่จับกุมพวกเขา อย่างเช่นก่อเหตุขับรถยนต์มาเปิดฉากยิงใส่ด่านทหาร เมื่อคืนวันที่ 23 กันยายน และอีกหนึ่งเหตุการณ์คืนวันที่ 12 ตุลาคม ขับรถฝ่าด่านทหารชนแบริเออร์พังกระจายโดนพลทหารบาดเจ็บ 1 นายทหารไปแจ้งตำรวจที่ สภ.คลองน้ำใส โดยเฉพาะเหตุการณ์หลังขับรถแหกด่านตรวจ ตำรวจก็อ้างว่า...กล้องวงจรปิดมันไม่ชัด ระบุตัวไม่ได้ ทหารเองก็ดูเหมือนจะไม่ติดใจเอาความ เพราะแจ้งความเสร็จก็หายเงียบไปเลย? ทั้งๆที่ความเป็นจริงนั้น ทหารเองเขารู้ตัวว่าผู้ต้องสงสัยก่อเหตุเป็นใคร เก็บหลักฐานจากกล้องวงจรปิดไว้ให้ตำรวจและเก็บชิ้นส่วนรถยนต์ที่แตกหัก พร้อมกับแบริเออร์ ที่แตกกระจายไว้ให้ตำรวจแต่การติดตามและดำเนินการ...ยังไม่มีความคืบหน้า และไม่เคยโทร.ขอข้อมูลจากทหารเลยด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้ทหารหน่วยนี้สงสัยเข้าไปใหญ่ว่า หรือ...จะเป็นไปเหมือนที่ชาวบ้านเขาเล่าลือตั้งข้อสังเกต...มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่บางรายในพื้นที่ซึ่งจริงๆแล้วทหารหน่วยนี้ใช้เทคโนโลยีเก็บข้อมูลจากโทรศัพท์ของขบวนการนำพาบางคนที่ถูกจับกุมได้ ซึ่งข้อมูลการพูดคุยในโทรศัพท์ น่าสนใจว่าก็โยงไปถึงเจ้าหน้าที่บางนาย? เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ทีม SEE TRUE ติดตามดูทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 2 ปฏิบัติภารกิจไล่จับคนลักลอบข้ามแดนและขบวนการนำพาจนเกือบจะเป็นภารกิจหลักไปแล้ว จึงได้เห็นว่า ขบวนการนำพาเหล่านี้ไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย จึงอดสงสัยไม่ได้...หรือเป็นเพราะว่ามีแค่ทหารหน่วยเล็กๆและ...ผู้นำชุมชนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ลงมือปราบปรามอย่างจริงจัง?ภาพสะท้อนทั้งหมดเหล่านี้เป็นปุจฉาสำคัญถึงรูปแบบการปฏิบัติงานที่ทำให้สถานการณ์อันพร่ามัวดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้ นี่อาจเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง...ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นเดิมพันหรือไม่ คงต้องสืบสวนสืบสาวหาความจริง...ตรวจสอบปราบปรามกันต่อไปให้เด็ดขาดคลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม