ในห้วงที่เมืองไทยอยู่ในบรรยากาศของการถวายความอาลัย อารมณ์เศร้าโศกจากการสูญเสีย “แม่ของแผ่นดิน” แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจในองค์ราชินีผู้งดงามทั้งพระสิริโฉมและพระราชหฤทัย ทำให้นานาชาติทึ่งในเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทยผู้นำทั่วโลกร่วมแสดงความเสียใจ สรรเสริญ “ควีนสิริกิติ์”ฉากพสกนิกรต่อแถวถวายความอาลัยสมเด็จพระพันปีหลวงในพระบรมมหาราชวัง พระราชพิธีตามโบราณราชประเพณี ประกอบกับภาพพระราชกรณียกิจในอดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบัน ทั้งสารพัดโครงการหลวง โดยเฉพาะผ้าไหม ชุดไทยนิยม กระเป๋าย่านลิเภา ฯลฯนี่แหละ “ซอฟต์พาวเวอร์” ของไทยอย่างแท้จริง“ไทยแลนด์โอนลี่” ที่ไม่มีชาติไหนเคลมลิขสิทธิ์ได้ มันคือสิ่งที่แฝงอยู่ในธรรมชาติของความเป็นประเทศไทย ความเป็นคนไทย โดยไม่ต้องให้อธิบายประชาชนต่างรู้หน้าที่กันเองโดยอัตโนมัติด้วยคำจำกัดความของ “ความเหมาะสม” ที่อยู่ในวิจารณญาณทุกผู้คน “ช่วงเวลาพิเศษ” ดำเนินไปภายใต้ความสง่างาม ตามรูปแบบที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ก็แค่สนับสนุน เสริมกระบวนการหลักที่อยู่กับสำนักพระราชวังและหลังจากผ่านช่วงฉุกละหุก อาการตื้นเขิน รัฐมนตรีบางกระทรวงออกคำสั่งผิดคิว จนโดนกระแสวิจารณ์ ต้องแก้ไขวิธีปฏิบัติกันสับสนอลหม่านถึงตรงนี้ “นายกฯอนุทิน” เลือกใช้รัฐมนตรีได้ตรงกับงาน ถูกคน ถูกตำแหน่งอย่างที่เห็นการแบ่งงาน โดยมอบหมายให้นางศุภมาส อิศรภักดี รมต.ประจำสำนักนายกฯ กำกับดูแลสื่อรัฐทั้งกรมประชาสัมพันธ์และ อสมท เป็นประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีโดยมีการประสานกับเอกชน ค่ายโทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางเผยแพร่สารคดีเฉลิมพระเกียรติ “แม่ของแผ่นดิน” นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องไปสู่สาธารณะลดความสับสนของโซเชียลฯ เฟกส์นิวสะท้อนหลักคิดง่ายๆของคนทำงานเป็น ไม่ต้องแอ็กชันหวือหวาและที่เด่นอีกคนก็คือ น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมว.วัฒนธรรม ที่เริ่มรายงานความคืบหน้าภารกิจหลักของกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากรอยู่ระหว่างการตรวจสอบความพร้อมของราชรถและพระยานมาศจากนั้นจะมีการทำแบบพระเมรุมาศ คาดว่าจะใช้เวลาร่างแบบ 2 เดือน ก่อนจะนำขึ้นให้องค์ที่ปรึกษามีพระราชวินิจฉัยและจะใช้เวลาในการก่อสร้างพระเมรุมาศไม่เกิน 9 เดือนนี่คือการใช้รัฐมนตรี “ร่วมสมัย” ในการสื่อสารกับประชาชนได้ทุกเจน“ห้วงเวลาพิเศษ” เข้ารูปเข้ารอยโดยอัตโนมัติแยกเป็นสัดส่วนออกจากสถานการณ์บริหารราชการแผ่นดินปกติของรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีเวลาสั้นๆโจทย์สถานการณ์หนักๆที่กดดัน “ผู้นำเซราะกราว” หายใจหายคอไม่ทันชั่วโมงที่ “นายกฯอนุทิน” ควงมาดามคนสวย บินไปร่วมประชุมกับผู้นำโลก ได้จังหวะโชว์ฟอร์มสะท้อนกึ๋นในเวทีอินเตอร์ต่อเนื่อง ไล่จากเวทีอาเซียนซัมมิต ที่มาเลเซีย ต่อด้วยเวทีเอเปก ที่เกาหลีใต้กระทบไหล่ขาใหญ่ทั้ง “โดนัลด์ ทรัมป์–สี จิ้นผิง”มีช็อตล้วงกระเป๋าคุยแบบส่วนตัวกับผู้นำสหรัฐ อเมริกา และปะหน้ากับประธานาธิบดีจีนแผ่นดินใหญ่ แสดงตัวให้สปอตไลต์ฉายส่องผู้นำไทยแลนด์ตามแผนหลักก็น่าจะอยู่ที่การเจรจาธุรกิจการค้ากู้กระแสจากที่ผู้นำรัฐบาลภูมิใจไทยโดนถล่มหนัก เจอ “คาวบอยทรัมป์” มัดคอเซ็นบันทึกความเข้าใจการสำรวจและสัมปทานแร่หายากในเมืองไทยเหมือนมุบมิบ แอบล่าขุมสมบัติ “แรร์เอิร์ธ”กระตุกขบวนการนิยมแผ่นดินใหญ่ขยับต่อต้าน ทั้งขู่ทั้งเตือนให้ระวังไทยเลือกข้างอเมริกาเปิดศึกกับจีน หน่วยเฝ้าระแวงดาหน้าออกมากระหน่ำแหลก “นายกฯอนุทิน” กลายเป็นปมร้อน “แรร์เอิร์ธ” แทรกคิวกลบสาระหลักช็อตการลงนาม “สันติภาพ” ชายแดนไทย–กัมพูชา กร่อยไปเลยอย่างไรก็ตาม หากมองโลกแง่ดี สหรัฐฯก็มีเทคโนโลยีเหนือกว่า นั่นไม่เท่ามาตรฐานความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ที่เทียบกับทุนจีนเทาที่ขุดเหมืองในพม่าปล่อยสารพิษลงแม่น้ำลอยมาไทย โคลนไหลมาถล่มเมืองเรื่องของเรื่อง มันก็ต้องให้พื้นที่ตรงกลางกับผู้นำไทยได้ทรงตัวก่อนภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ร้อนๆ เกมบังคับประเทศไทยตกอยู่ในแนวรบสงครามโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนจากสงครามเย็นมาเป็นศึกภูมิรัฐศาสตร์มหาอำนาจโลกล้อมกรอบ ซ้ายก็สหรัฐฯ ขวาก็จีนแดงรุมบีบไข่กันหน้าดำ หน้าเขียว หนีไม่พ้นต้องเลือกจุดที่คุ้มทุนมากที่สุดในอาการแบบที่ผู้นำเซราะกราว ในฐานะทายาทเจ้าสัวยักษ์ก่อสร้าง “ซิโน–ไทย” ต้องงัดมุกการันตีตัวเองแบบเกรียนๆ อารมณ์ “เล่นตัวเอง เจ็บน้อยกว่า”รับรองลูกเขี้ยว เจรจาไม่เคยเสียเปรียบใคร คนถึงไม่ชอบขี้หน้าเอาเป็นว่า สงครามชิง “แรร์เอิร์ธ” ก็แค่ขั้นตอนของการแสดงตัวเลือกข้างพี่เบิ้ม แอบมุบมิบแทงหวย “คาวบอยทรัมป์” แบบลับๆล่อๆแต่ยังไม่ถึงขั้นเจ๊งยับ เสียหายมากมายทั้งนี้ทั้งนั้น ไฮไลต์เวทีอินเตอร์จริงๆที่ทุกฝ่ายตามลุ้นตัวโก่งก็คือการที่ “นายกฯหนู” ประกาศก่อนบินไปร่วมฟลอร์ประชุมผู้นำนานาชาติ รัฐบาลจะเดินหน้าเสนอตัวประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพใหญ่ในสงครามปราบสแกมเมอร์ที่กำลังเป็นวาระเร่งด่วนป่วนพลเมืองทั่วโลกที่สำคัญ มันจะเป็นจังหวะลากประเทศไทยออกจากวังวนเงินเทาที่ถูกสหรัฐฯ และชาติตะวันตกล็อกเป้าโซนชายแดนกัมพูชา เมียนมา ไทย เป็นแดนบาปของแก๊งอาชญากรไซเบอร์โลกโจรสแกมเมอร์เขมรข้ามแดนมาลงหลักปักฐานอยู่ในกรุงเทพฯเส้นเงินเทาฝังรากลึก โยงใยไปถึงขุมข่ายธุรกิจ คนระดับสูงในเกมอำนาจการเมืองไทยเทา ตามท้อง เรื่องแบบที่คนระดับรัฐมนตรีในรัฐบาล “อนุทิน” ต้องไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งผลจากแรงกระแทก “แบล็กลิสต์ โจรสแกมเมอร์”และแนวโน้มก็ยังลามต่อเนื่อง ในจุดที่นายวรภัค ธันยาวงษ์ ทิ้งเก้าอี้ไปแล้ว ก็ยังต้องเคลียร์ลูกติดพันไม่หยุด ชุดข้อมูลจาก “ทอม ไรต์” สื่อใหญ่ระดับโลก ที่ปล่อยหลักฐานมาพันธนาการความใกล้ชิดล็อกติดกับหัวโจกสแกมเมอร์โลกอย่าง “เบน สมิท–ยิม เลียก”“แบล็กลิสต์” ยิ่งสาวยิ่งลาม ล้อกระแส 7 นักการเมืองไทยมีชื่อติดบอร์ดโจรสแกมเมอร์ รอโดนประจานสถานการณ์ล็อกเป้าสภาพ “เบอร์ใหญ่” ชิ่งหนีไม่ออกบอกใครก็ไม่เชื่อ ปฏิเสธยังไงก็ยังโดนนักข่าวดักจ่อไมค์ถามไม่หยุด ในจุดที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯและ รมว.เกษตรฯ เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้นั่งแท่นประธานคณะกรรมการปราบปรามการค้ามนุษย์และแก๊งสแกมเมอร์และไม่แน่ว่า ตั้งใจหรือเผลอพลาด ตามคิวที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี ประธานวิปรัฐบาล การันตียุทธศาสตร์ ครม.ใช้ “โจรไปปราบโจร”ขาใหญ่ทำปืนลั่นใส่หัวนิ้วโป้งเท้ากันเอง อารมณ์นักเลงขำๆแต่ตลกร้ายประชาชนคนไทยหัวเราะไม่ออกที่แน่ๆโดยปมร้อนโจรสแกมเมอร์ไหลลามลึก จากขบวนการ “ผีเห็นผี” ที่เปิดหน้าออกมาแฉกันยับ ทั้ง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ทนายคนดัง โชว์แผนผังข้อมูลลับทะลวงตับนักการเมือง “ช” ที่เป็นปริศนาอักษรย่อ ก็เปิดหน้าเคลียร์กันพัลวันหนึ่งในนั้นก็คือนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรคกล้าธรรม คนสนิทของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ออกมาโต้แหลก ยืนกรานเสียงแข็งไม่ใช่หัวโจกแก๊งสแกมเมอร์แบบที่ขบวนการผีเห็นผีพยายามเชื่อมโยงไฟลามช็อต “ผู้กองนัส” ต้องโดดช่วยปกป้องลูกน้องรัก ซัดกันควันโขมงจังหวะเข้าเหลี่ยมล็อกคอตีเข่า “รังสิมันต์ โรม” มือทุบโจรไซเบอร์ของกองทัพส้ม ไล่บี้ “นายกฯอนุทิน” อ้างอิงยุทธการโจรปราบโจร ขนาดนายชาดายังรู้ว่าใครเป็นโจร ถ้าผู้นำไทยไม่กล้าตัดเนื้อร้ายสแกมเมอร์มันก็หนีไม่พ้นสภาพ “โจรช่วยโจร” รัฐบาลไทยอุ้มแก๊งสแกมเมอร์ ปั่นทุนเลือกตั้งยึดประเทศลากพันธนาการโจรเงินเทา ล็อก “อนุทิน” ไม่ให้ชิ่งลอยตัว.“ทีมการเมือง”คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม