นโยบายเร่งแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ (จชต.) โดยรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ปรับแนว ทางดำเนินงาน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในด้านการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน คู่ขนานพัฒนาด้านเศรษฐกิจ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืนบนสถานการณ์เปราะบางและท้าทาย เชื้อไฟความไม่สงบที่ปะทุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ครั้งแรก กำชับทุกกลไกรัฐให้ปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ ตชต.อย่างมีประสิทธิภาพสั่งการชัดยกระดับงานข่าวเชิงรุก บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ผนึกกำลังทุกภาคส่วนให้ทำงานอย่างเป็นเอกภาพ พร้อมวางคนในตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยเฉพาะสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้แต่งตั้ง พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา อดีตเลขา สมช.เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนภาคใต้ไม่ผูกขาดพูดคุยเฉพาะกลุ่มบีอาร์เอ็น เน้นเปิดโต๊ะเจรจากับทุกกลุ่ม และเปิดเจรจากับรัฐบาลประเทศมาเลเซีย ที่มีปัญหาการเมืองในพื้นที่ภาคเหนือติดกับชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย โดยสังคมคาดหวังกับทุกรัฐบาลให้ยุติฝันร้ายดังกล่าว แต่กว่า 2 ทศวรรษ แนวโน้มสถานการณ์กลับกลายเป็นความรุนแรงยืดเยื้อปัญหาไฟใต้ซับซ้อนและหยั่งรากลึก ดังนั้นรัฐบาลต้องตาสว่าง เลิกคาดหวังถึงผลเจรจานำไปสู่การยุติปัญหาได้ฉับพลัน ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ได้ให้เหตุผลว่า กลุ่มบีอาร์เอ็นยังมีศักยภาพก่อเหตุร้าย แถมขยายการแสวงหาสมาชิกไปในหมู่เยาวชน นำเอาเยาวชนเข้าสู่วงจรความรุนแรง กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่หยุดไม่ได้โดยมีชนวนตอกลิ่มบาดแผลฝังลึก คือ 3 ตราบาป ในปี 2547 ทั้งเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส การปะทะที่มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี และคดีตากใบ ที่กลายเป็นจุดหักเห และจุดเปลี่ยนที่เผาไหม้ความมั่นคงในพื้นที่ จชต. ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจึงต้องมององค์รวม โดยขุดรากเหง้าทั้งในอดีตและปัจจุบันยิ่งกลุ่มบีอาร์เอ็นเปิดปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรง คู่ขนานทางการเมืองบนเป้าหมายสร้าง“รัฐเอกราชใหม่” ถือได้ว่าเป็นความท้าทายต่อรัฐไทยแบบตรงๆ ดังนั้นรัฐบาลต้องวางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน เฉียบคม ด้วยความตระหนักว่าการยุติการก่อความไม่สงบของขบวนการติดอาวุธทั่วโลก เกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจาก ยุทธศาสตร์ที่ดี.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม