นับเป็นประเด็นร้อนในแวดวงสีกากีอย่างหนาหูกับ “การปฏิรูปตำรวจฉบับใหม่” หลัง กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ นำเสนอรายงานการศึกษาการปฏิรูประบบราชการตำรวจต่อสภาผู้แทนราษฎรจนมีมติเห็นชอบโดยไม่มีเสียงค้านเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2568หัวใจสำคัญในรายงานการศึกษาครั้งนี้คือ “การให้ตำรวจขึ้นตรงต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าฯ กทม.” ซึ่งจะมีอำนาจในการแต่งตั้ง โยกย้าย และลงโทษทางวินัยตำรวจในพื้นที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการตำรวจระดับจังหวัดและ กทม.ที่มีองค์ประกอบความโปร่งใส และได้รับการยอมรับจากประชาชนทั้งเสนอโอนหน่วยตำรวจเฉพาะทาง 13 หน่วยงานไปยังกระทรวง หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมายโดยตรง เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญและประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อนุกรรมาธิการใน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศฯ บอกว่าเป็นสัญญาณดีที่สภาฯเห็นชอบรายงานฉบับนี้ “ถือเป็นการปฏิรูปตำรวจทั้งระบบ” โดยเฉพาะให้ตำรวจอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ว่าฯ รวมถึงโอนตำรวจเฉพาะทางให้กระทรวงที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมายอย่างเช่น ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจทางหลวง ตำรวจทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำรวจป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ตำรวจคุ้มครองผู้บริโภค และตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีแล้วก็แก้ไขเพิ่มเติม “ป.วิ.อาญาให้ทุกหน่วยมีอำนาจสอบสวนคู่ขนานกับตำรวจท้องที่” โดยมีอัยการคอยตรวจสอบคดีสำคัญ “ส่งผลให้ สตช.และหน่วยบังคับบัญชาเล็กลง” เพราะตำรวจพื้นที่ต้องขึ้นกับจังหวัด ในการตัดสายบังคับบัญชาที่ยืดยาว และลดความสิ้นเปลืองงบประมาณที่ไม่จำเป็นลง ด้วยเรื่องปฏิรูปตำรวจหลายคนเข้าใจว่า “รัฐบาล คสช.ดำเนินการปฏิรูปไปแล้ว” ผ่านข้อเสนอของคณะกรรมการคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ จนนำไปสู่ พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2565 แต่แท้จริงกลับยังไม่ใช่การปฏิรูปตำรวจเนื่องจากผลการศึกษาชุดของท่านมีชัยเสนอไปนั้น สตช.เพียงพิจารณา แต่ไม่ได้นำมาใช้จริงกลับเลือกร่างใหม่ทั้งฉบับเองกลายเป็นว่า “พ.ร.บ.ตำรวจฯที่ประกาศใช้ไม่ได้สะท้อนการปฏิรูปที่แท้จริง” จนก่อให้เกิดปัญหามาถึงวันนี้ “กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ” ต้องหยิบเรื่องนี้มาศึกษาใหม่และนำเสนอรายงานผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าการปฏิรูปตำรวจจริงๆ ส่วนขั้นตอนต่อไปคงส่งเรื่องให้นายกฯนำไปพิจารณาดำเนินการต่อย้ำสาระสำคัญคือ “ปรับโครงสร้างอำนาจการควบคุมดูแลตำรวจ” โดยในระดับจังหวัดให้ผู้ว่าฯมีอำนาจแต่งตั้ง โยกย้าย ลงโทษทางวินัยผ่านคณะกรรมการจังหวัด “เปลี่ยนจากระบบเดิมที่ตำรวจทำงานอิสระในพื้นที่” ทำให้ตำรวจจะเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองในระดับอำเภอ และจังหวัด สอดคล้องความต้องการของประชาชนถัดมาคือ “การโอนหน่วยตำรวจเฉพาะทางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งมีภารกิจที่ทับซ้อนกับกระทรวง ทบวง กรม ก็ให้โอนย้ายไปหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ตามกฎหมายเหมือนกับการโอนตำรวจดับเพลิงให้ กทม. เพราะหน่วยงานมีกฎหมายรองรับจะได้บังคับใช้กฎหมายของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่ต้องขึ้นกับ สตช.ทั้งหมดเพราะการโอนตำรวจเฉพาะทางนี้ “ไม่ใช่เรื่องใหม่” มีบัญญัติใน พ.ร.บ.ตำรวจฯ มานานกว่า 30 ปี “แต่ไม่เคยถูกนำริเริ่มทำมักดึงเรื่องไว้” แม้แต่กรณีโอนตำรวจดับเพลิงให้ กทม.ยังถูกดึงเวลานานกว่า 5 ปีด้วยซ้ำอีกทั้งในรายงานปฏิรูปยังเสนอแก้ไข ป.วิ.อาญาโดยเฉพาะอำนาจการสอบสวน เบื้องต้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาฯ เพื่อเปิดทางให้กระทรวง ทบวง กรมอื่นมีอำนาจสอบสวนคดีตามกฎหมายของตนเอง “ไม่ใช่การโอนภารกิจสอบสวนทั้งหมด” หากยังไม่มีความพร้อมก็ใช้ช่องทางการแจ้งความกับตำรวจตามปกติเช่นเดิมแนวทางนี้จะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายคล่องตัวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดการผูกขาดอำนาจสอบสวนไว้ที่ สตช.เพียงฝ่ายเดียว เพราะเมื่อก่อนคดีป่าไม้ก็ต้องรับหากมีผู้กล่าวโทษทั้งที่ไม่ใช่งานเฉพาะทางด้วยซ้ำอย่างเช่นเทศกิจ กทม.ต้องรับผิดชอบกฎหมาย 26 ฉบับ แต่กลับต้องส่งเรื่องให้ตำรวจที่ไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับกฎหมายเหล่านี้ “จนถูกดองไว้เป็นหมื่นคดี” ดังนั้น แนวทางการปฏิรูปครั้งนี้เป็นการเน้นการกระจายอำนาจการสอบสวนให้หน่วยงานในพื้นที่โดยเฉพาะผู้ว่าฯจะมีบทบาทในการสั่งการและกำกับดูแลตำรวจอย่างแท้จริงผลที่ตามมาคือ “บทบาท สตช.อาจจะยุบให้เป็นหน่วยเล็กลง” สำหรับติดตาม ตรวจสอบ และสนับสนุน “ไม่ใช่เข้าแทรกแซงงานจังหวัด” เพราะตำรวจภาคอยู่ห่างไกลอย่างตำรวจภูธรภาค 4 อยู่ที่ จ.ขอนแก่น ก็ไม่อาจเข้าใจปัญหาเฉพาะหน้าในพื้นที่อื่นได้ เช่นนี้การบริหารงานควรอยู่ในมือของจังหวัดเป็นผู้ดูแลจะดีกว่าอันที่จริงตามหลักแล้ว “ตำรวจควรเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงมหาดไทย” เพราะในอดีตผู้ว่าฯก็เคยมีอำนาจควบคุมการสอบสวนของตำรวจได้บ้าง แต่ปัจจุบัน สตช.ใช้อำนาจภายในออกคำสั่ง และควบคุมกันเอง ส่งผลให้ผู้ว่าฯไม่มีอำนาจทั้งที่เป็นผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ ทำให้เวลาประชาชนเดือดร้อนต้องหันไปพึ่งเพจคนดังในส่วนงานสอบสวนนั้น “อัยการ” จะต้องมีอำนาจเข้ามาตรวจสอบควบคุมได้ “ไม่ว่าใครจะถืออำนาจสอบสวนอยู่ก็ตาม” ก็ยังสามารถจะดำเนินการการสอบสวนในคดีที่มีปัญหา หรือคดีสำคัญร่วมด้วยตอกย้ำว่า “การโอนภารกิจจากตำรวจไม่จำเป็นต้องรอความพร้อมของหน่วยงาน” เมื่อหลักการทำถูกต้องก็ดำเนินการได้ “ไม่ควรขึ้นอยู่กับความพร้อมของใคร” เพราะที่ผ่านมาการปฏิรูปตำรวจมักติดกับดักมัวแต่รอคนโน้นไม่พร้อม คนนี้ไม่เอา แต่เมื่อสภาฯมีมติเห็นชอบแล้วหน้าที่ต่อไป “นายกฯ” ควรสั่งการให้ทำตามนั้นถ้ารัฐบาลตั้งเป้าว่า “จะฟื้นฟูหลักนิติธรรม” นี่คือโอกาสพิสูจน์ในการเดินหน้าตามมติสภาฯออกพระราชกำหนด หรือสั่งการ สตช.ดำเนินการจะเป็นทางที่เร็วที่สุด หรืออีกทางให้ สส. 20 คนเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย“สภามีมติเห็นชอบรายงานการปฏิรูปตำรวจแล้วถือเป็นการปักธงว่าประเทศต้องการเดินในทิศทางนี้จากนั้นประธานสภาฯจะส่งรายงานให้นายกฯเพื่อเดินหน้าปฏิรูปตามแนวทางในรายงานนี้หรือไม่ ถ้าต้องการทางที่เร็วที่สุดคือสั่งให้ ผบ.ตร.พิจารณาดูข้อเสนอใดทำได้ภายใต้กฎหมายก็ทำเลยไม่ต้องรอออกเป็นกฎหมาย” พ.ต.อ.วิรุตม์ ว่านี่คือการปฏิรูปตำรวจที่แท้จริง “ไม่ใช่แค่ปรับเล็กน้อยแบบ พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2565” แต่เป็นการเปลี่ยนหลักคิด และโครงสร้างให้ตำรวจอยู่ภายใต้ฝ่ายพลเรือนซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน “ไม่ใช่ของระบบนายพล” ในวันนี้การปฏิรูปตำรวจถือเป็นความก้าวหน้าที่สุดเพราะสภาฯได้เห็นชอบแล้ว...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม