ผลกระทบจาก Reciprocal Tariff ที่สหรัฐอเมริกาเรียกเก็บภาษีสินค้าที่ส่งออกจากไทยในอัตรา 19% ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. เริ่มมีรายงานตัวเลขอย่างเป็นทางการในกลุ่มต่างๆออกมาให้เห็นแล้ว ก่อนหน้านี้นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล เคยนำทีม รมต.เศรษฐกิจไปเดินสายพบปะแลกเปลี่ยนความเห็นกับภาคธุรกิจเอกชน แต่หลังจากนั้นยังไม่มีการเทกแอ็กชันจริงจัง ล่าสุดคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เผยว่า ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจนัดแรกจะมีการพิจารณาเรื่องเจรจาภาษีกับสหรัฐฯวันนี้ผมขอนำโพสต์ของ คุณวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาชน มาถ่ายทอดต่อ เพื่อเป็นการกระตุ้นรัฐบาลอีกทาง คุณวีระยุทธโพสต์ในหัวข้อเรื่อง “จับ 4 สัญญาณเมื่อภาษีทรัมป์ 19% ส่งผลกับไทยแล้ว” โดยนำตัวเลขการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ (กลุ่มที่ส่งออกเยอะและมีผลกระทบมาก) มาวิเคราะห์ถอดรหัส1.แรงสะเทือนของภาษีทรัมป์เริ่มนับหนึ่งแล้ว สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของไทย คิดเป็นสัดส่วน 18% ช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค.ส่งออกไปสหรัฐฯเฉลี่ยเดือนละกว่า 200,000 ล้านบาท แต่ในเดือน ส.ค.กลายเป็นจุดเปลี่ยน ตัวเลขตกลงมาเหลือ 180,000 ล้านบาท หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เท่ากับมีอัตราการเติบโตเหลือแค่ 0.7% เท่านั้น ลดลงจากที่เคยขยายตัวเกิน 20% มาหลายเดือน2.กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังโตได้ แต่ก็ชะลอตัวลงเยอะ หากแยกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือสินค้าที่โดนสหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้แล้ว เช่นหม้อแปลงไฟฟ้า แม้ยังเติบโตได้ 9% แต่ก็ชะลอตัวจากช่วงก่อนที่เคย ขยายตัวถึงเดือนละ 26–79% อีกกลุ่มคือสินค้าที่ยังอยู่ในภาวะสุญญากาศ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯกำลังพิจารณาแนวทางการเก็บภาษี เช่นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ยอดส่งออกเดือน ส.ค.ยังขยายตัว 27% แต่นับว่าชะลอตัวจากช่วงก่อนที่เคยขยายตัวสูงระดับเดือนละ 40–90% เรียกว่ายังโตได้ แต่ค่อยๆโตต่ำลงเหมือนเศรษฐกิจภาพใหญ่3.อัญมณี ปลากระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง ยาง สิ่งทอ เริ่มเจ็บหนัก เป็นกลุ่มที่ต้องติด “ธงแดง” กันจริงจังแล้ว เพราะยอดส่งออกหายไปแบบก้าวกระโดด โดยสินค้าที่ยอดส่งออกเดือน ส.ค.หายวูบไปราว 1 ใน 3 ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ (-30%) ปลากระป๋อง (-29%) กลุ่มที่เจ็บรองมา ยอดหายราวไป 1 ใน 5 คือ ถุงมือยาง (-24%) เครื่องปรับอากาศ (-23%) ยางรถยนต์ (-23%) อาหารสัตว์เลี้ยง (-19%) และสิ่งทอ (-17%)กลุ่มธงแดงนี้มีสัดส่วนผู้ประกอบการไทยเป็นหลักและมีการจ้างงานเยอะ เช่นบริษัทเครื่องประดับที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มีการจ้างงานรวมกว่า 55,000 คน ส่วนบริษัทสิ่งทอก็จ้างงานถึง 120,000 คน ต่างกับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่มักเป็นการผลิตโดยบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในไทย ดังนั้นกลุ่มธงแดงที่เริ่มเจ็บหนักเหล่านี้ควรเป็นเป้าหมายหลักที่รัฐบาลต้องรีบเข้าไปช่วย4.การส่งออกกลายเป็นตัวฉุดจีดีพีครึ่งปีหลังต่อไปถึงปีหน้า สัญญาณที่น่ากังวลที่สุดคือ แนวโน้มการหดตัวของการส่งออกจะไม่ใช่ค่อยๆไหลลงแบบการขับรถลงสะพาน แต่เสี่ยงจะหล่นวูบทันทีและยาวนานเหมือนกับปรากฏการณ์ถนนทรุด ที่เป็นเช่นนี้เพราะการส่งออกที่โตสูงลิ่วในช่วงครึ่งปีแรก ไม่ใช่การเติบโตแบบธรรมชาติ ที่ดีมานด์ขยายก่อนแล้วยอดผลิตขยายตาม แต่เป็นเพราะบริษัททั้งหลายต่างพากัน “เร่งส่งออก” หนีความไม่แน่นอนก่อนจะโดนเก็บภาษี พอเร่งใช้แต้มบุญไปล่วงหน้าแล้ว ครึ่งปีหลังและต่อเนื่องไปถึงปี 2569 จึงเสี่ยงที่การ ส่งออกจะทรุด กลายสภาพจากตัวดึงจีดีพีขึ้นมาเป็นตัวฉุดจีดีพีลงแทนคุณวีระยุทธชี้ด้วยว่า ข้อดีคือตอนนี้เราเห็นแล้วว่ากลุ่มธงแดงที่ได้รับผลกระทบหนักคือกลุ่มไหนบ้าง มาตรการเยียวยา สนับสนุน รวมถึงหาตลาดส่งออกใหม่ จึงทำแบบ “พุ่งเป้า” ได้ เพราะการเยียวยาและหาตลาดใหม่ให้สินค้าแต่ละกลุ่มมีเงื่อนไขแตกต่างกัน จึงต้องใช้แนวทางคนละแบบ นอกจากนี้สามารถอาศัยกลไกรัฐประสานเอกชนอย่าง Reinvent Thailand เชื่อมภาคธุรกิจ ภาคการเงิน และภาครัฐ เข้าด้วยกัน ช่วยผู้ผลิตสินค้าธงแดงได้ทันทีผมเห็นด้วยกับอาจารย์วีระยุทธที่ต้องเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการแบบพุ่งเป้า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องทุ่มเทสรรพกำลังไปรับฟังปัญหาและข้อเรียกร้องของแต่ละเซ็กเตอร์สินค้า แล้วออกมาตรการช่วยเหลือให้ตรงจุด ก่อนที่ผลกระทบภาษีทรัมป์จะขยายวงจนเกินเยียวยา.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม