แม้เสียงปืนจากแนวหน้าจะเงียบ ลง แต่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชายังคงเปราะบาง และสิ่งที่เปิดโปงจากพื้นที่กลับไม่ใช่เพียงภาพการสู้รบ แต่คือ “เครือข่ายธุรกิจมืด” และ “การรับส่วย” ที่ฝังตัวอยู่ในชุมชนชายแดนเรื่องราวที่ทีมข่าว “SEE TRUE” ไทยรัฐทีวี ตามไปพิสูจน์ที่จังหวัดสระแก้ว เผยให้เห็นมุมมืดซ้อนมุมมืดในพื้นที่อรัญประเทศและโคกสูง และยังต่อเนื่องไปถึงอีกเงื่อนปมปัญหาสำคัญ นั่นก็คือ...“ส่วยจุดผ่อนปรนบ้านโนนหมากมุ่น” อีกเรื่องฉาวโฉ่ที่มีข้อมูลลือสะพัดว่าคนของกรมการปกครองมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องพุ่งเป้าไปที่...การเปิดจุดผ่อนปรนบ้านโนนหมากมุ่น ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูงโครงการนี้ รัฐบาลไทยและกัมพูชามีแนวคิดเปิดจุดผ่อนปรนบ้านโนนหมากมุ่น-บ้านเปรยจัน (กัมพูชา) ตั้งแต่ปี 2551 กระทั่งปี 2561 เป็นปีที่มีการประโคมข่าวว่าจุดผ่อนปรนต้องเปิดให้ได้และ...เป็นปีที่มีความคืบหน้ามากที่สุดในฝั่งไทยนั้น มีการสร้างถนนคอนกรีตตัดถนนศรีเพ็ญ เลยไปจนถึงบริเวณชายแดนที่จะสร้างจุดผ่อนปรน มีการสร้างจุดตรวจศุลกากร และมีนักธุรกิจไทยไปสร้างห้องแถวพาณิชย์ชั้นเดียวไว้ 100 กว่าห้องแต่...ทุกอย่างก็ถูกปล่อยไว้รกร้างตั้งแต่ตอนนั้น กระทั่งเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา นางสาวดารา เรียน ชาวกัมพูชาที่เคยเปิดโปงกำนันลีออกมาเปิดข้อมูลกับ นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน กล่าวหาว่า...เมื่อตอนปี 2561 ผู้ว่าฯสระแก้ว และนายอำเภอโคกสูงเรียกรับส่วยจากออกญาสัมพันนะฤทธิ์ นักธุรกิจชาวกัมพูชา นับร้อยล้านบาท? ซึ่งเรื่องนี้...อาจสะเทือนทั้งระบบราชการและโครงสร้างอำนาจท้องถิ่นเธอย้อนที่มาที่ไปของเรื่องราวสุดฉงนนี้ว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลกัมพูชาสร้างตลาด จุดผ่อนปรนบ้านโนนหมากมุ่น-เปรยจัน ในฝั่งกัมพูชา คือ บริษัทสัมพันนะฤทธิ์ ดีเวลล็อปเมนต์ ของนักธุรกิจชาวกัมพูชา ชื่อว่า ออกญาสัมพันนะฤทธิ์ บริษัทสัมพันนะฤทธิ์ฯมีแผนสร้างตลาดเกษตรให้เหมือนตลาดไท แต่พื้นที่ที่จะสร้างอยู่เลยหลักเขตแดนที่ 43 ไปทางกัมพูชา ซึ่งเธออ้างว่า มีคนไทย 72 คน รุกล้ำไปทำนา 1,039 ไร่ นั่นทำให้ผู้ว่าฯ และนายอำเภอ เสนอตัวจัดการปัญหานี้ โดยขอค่าชดเชยให้ชาวนาไร่ละ 8 หมื่นและ...ขอเงินใต้โต๊ะ หรือส่วยค่าดำเนินการ 100 ล้านบาท เธอกล่าวอ้างด้วยว่า ตัวเธอเป็นเลขาฯและผู้ประสานงานฝั่งไทยของออกญาสัมพันนะฤทธิ์ ได้นัดนายอำเภอกับพวกเข้าไปรับเงินส่วยหลายครั้งรวม 35 ล้านบาท ส่วนผู้ว่าฯนั้น ออกญาฯ ขับรถออกจากด่านปอยเปต นำเงินสด 10 ล้านบาท ไปมอบให้ถึงห้องทำงานชั้น 4 ในศาลากลางจังหวัดสระแก้วรวมจ่ายส่วยไปแล้ว 45 ล้านบาท จากที่ขอ 100 ล้านบาท ซึ่งได้ยังไม่ครบนอกจากนี้เธอยังอ้างต่อไปอีกว่า นายอำเภอยังพาพวกไปเอาเงินมาเคลียร์ค่าชดเชยให้ชาวบ้าน รอบแรก 75 ล้านบาท จ่ายให้ชาวบ้าน 68 ราย ซึ่งต่อมาเธอตรวจสอบในภายหลังพบว่าเงินถึงมือชาวบ้านจริงแค่ 5 ล้านบาท...แต่มีชาวนา 4 คน ซึ่งมีที่นารวมกัน 75 ไร่ จะขอเงินชดเชยไร่ละ 1 ล้านบาท นายอำเภอ กับผู้ว่าฯก็ขอเคลียร์เอง พร้อมกับไปเบิกเงินจากออกญาฯอีก 35 ล้านบาท เพื่อมาจ่ายให้ชาวนา 4 คน ซึ่งภายหลังออกญาฯมารู้ว่า เงินจำนวนนี้ไม่ถึงมือชาวบ้านสักบาทเดียวนางสาวดารา เรียน กล่าวหาว่า รวมๆแล้วผู้ว่าฯ และนายอำเภอ รับเงินจากออกญาฯทั้งหมด 155 ล้านบาท เงินถึงมือชาวนา 5 ล้านบาท ที่เหลือ 150 ล้าน เป็นส่วยและเงินค่าชดเชยที่อมไว้กินเอง จากปัญหาชาวนาไม่ได้ค่าชดเชยทำให้เกิดการร้องเรียน แผนการเปิดจุดผ่อนปรนปี 2561 จึงชะงักลง สุดท้ายฝ่ายความมั่นคง ก็เลยยังไม่ให้เปิดจนถึงทุกวันนี้ และเมื่อไทยกับกัมพูชาสู้รบกัน ยิ่งทำให้การเปิดจุดผ่อนปรนบ้านโนนหมากมุ่น-เปรยจัน เป็นไปได้ยาก นางสาวดารา เรียน บอกว่า ออกญาฯชาวกัมพูชาเสียรู้และเสียเงินให้ข้าราชการไทย 150 ล้านบาท ส่วนผู้ว่าฯหลังได้กินเงินส่วย 6 เดือน ก็ย้ายออกไปพื้นที่อื่นและตอนนี้มีตำแหน่งใหญ่โตในกระทรวงมหาดไทย...จากเงื่อนปมคำกล่าวหาและอ้างถึงทั้งหมดข้างต้นนี้ นายวีระได้รับเรื่องจากนางสาวดารา เรียน และชาวบ้านที่บอกว่าตัวเองยังไม่ได้รับเงินชดเชย แต่ชาวบ้านก็แนบเอกสารเสียภาษีบำรุงท้องที่ หรือ ภ.บ.ท.5 มาด้วย ซึ่งก็ยังมีข้อสงสัยสำคัญว่า...ถ้าที่นาเหล่านั้นอยู่ในแผ่นดินกัมพูชา เหตุใดชาวบ้านจึงเสียภาษีให้ อบต.นี่คือประเด็นแรก ซึ่งนายวีระจะตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นแผ่นดินไทยหรือกัมพูชากันแน่ เพราะถ้าเกิดว่าที่นาอยู่ในแผ่นดินไทย ผู้ว่าฯ และนายอำเภอจะมีส่วนในการขายชาติขายแผ่นดินด้วยหรือไม่?อย่างไรก็ตาม ทีมข่าว “SEE TRUE” ไทยรัฐทีวี ลงพื้นที่สืบสวนเชิงลึก ยังพบด้วยว่า ตัวละครในเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่บริษัทของกัมพูชา ชาวบ้านเจ้าของที่ดิน และกลุ่มคนของกรมการปกครองเท่านั้น แต่ยังมีบริษัทชื่อดังของไทย ที่ไปกว้านซื้อรวบรวมที่ดินจากชาวบ้านไว้ก่อน แล้วขายต่อให้บริษัทกัมพูชา แต่...บอกว่าเป็นการชดเชยให้ชาวนาไทย ซึ่งเป็นวิธีซับซ้อนที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน ทั้งเรื่อง “เงินส่วย-ที่ดินรุกล้ำ-การแทรกแซงผลประโยชน์” ป.ป.ช. และหน่วยงานด้านความมั่นคงต้องตรวจสอบเชิงลึกอย่างแน่นหนักเพื่อพิสูจน์ความจริง หากข้อกล่าวหามีมูล...คดีนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องคอร์รัปชันธรรมดา แต่คือ “ขบวนการขนเงิน...ขนอำนาจ...ข้ามชาติ” ที่กัดเซาะความมั่นคงของ “แผ่นดิน”จุดผ่อนปรนที่ยังไม่เปิด...แต่ “ประตูผลประโยชน์” (คนบางกลุ่ม) กลับเปิดมานานแล้ว.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม