ในโลกที่วิทยาศาสตร์ยังไม่อาจอธิบายทุกสิ่ง “มนุษย์”...จึงแสวงหาที่พึ่งทางใจจากสิ่งที่มองไม่เห็น “คาถามหาสะท้อน” หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า “คาถาสะท้อนกลับ” นับเป็นหนึ่งในมนตราโบราณที่สืบทอดกันมาในสายครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นเสมือน “เกราะแก้ว”ป้องกันภัยจาก...คุณไสย มนตร์ดำ หรือพลังอัปมงคลทั้งปวงว่ากันว่า...หากใครถูกกระทำด้วยเวทมนตร์ร้าย เมื่อสวดคาถานี้ด้วยจิตมั่นคง พลังร้ายเหล่านั้นจะ “สะท้อนกลับ” ไปยังผู้คิดร้ายเองโดยมิอาจเลี่ยงได้ สำคัญว่า...ปาฏิหาริย์ของคาถาอยู่ตรงที่มิใช่การโจมตีทำร้าย หากแต่เป็นการคืน “ผลแห่งกรรม” ให้ผู้กระทำ ในสายหมอพื้นบ้านและสำนักพระเกจิอาจารย์ โดยเฉพาะในภาคเหนือ...อีสาน เล่าขานไว้ว่าคาถาสะท้อนกลับเป็นมนตราชั้นสูง ถ่ายทอดเฉพาะศิษย์ที่มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ด้วยเหตุที่ถ้อยคำนี้อานุภาพแรงกล้า หากผู้ใช้มีเจตนาร้าย อาจสะท้อนโทษมาสู่ตนเองด้วยคาถานี้จึงถูกถือว่า “ใช้เพื่อป้องกัน มิใช่เพื่อทำลาย” และต้องอาศัยจิตใจที่มั่นคงบริสุทธิ์เป็นสำคัญหนึ่งในเรื่องเล่าสืบต่อๆกันมาในหมู่บ้านในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน บอกถึงชายผู้ถูกกลั่นแกล้งด้วยคุณไสยจนล้มป่วยไม่หาย ครั้นได้พระเกจิเมตตามอบ “คาถามหาสะท้อน” ให้สวดติดต่อกัน 7 คืน อาการกลับทุเลาอย่างน่าอัศจรรย์ ขณะที่ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นต้นเหตุ กลับป่วยแทนอย่างไร้สาเหตุอีกตำนานหนึ่งเล่าขานกล่าวถึงนักรบโบราณผู้ใช้คาถานี้ก่อนออกรบ ศรของศัตรูไม่อาจทะลวงถึงตัว กลับหักสะท้อนกลับจนได้รับฉายา “นักรบผู้มีเกราะคาถาสะท้อน” กระนั้นแล้วในมุมของผู้ไม่ศรัทธาในเรื่องราวเหล่านี้ อาจตีความว่าเป็นเพียง “ความบังเอิญ” แต่สำหรับผู้ที่ตั้งจิตมั่น “คาถามหาสะท้อน” คือสัญลักษณ์แห่งพลังใจ ความมั่นคงของจิตนี่เองที่ทำให้ภัยร้ายมิอาจแทรกซึมได้...ซึ่งแท้จริงแล้ว ปาฏิหาริย์ไม่ได้อยู่ในถ้อยคำ หากแต่อยู่ในศรัทธาและความแน่วแน่ของผู้สวดคำบูชาและคาถามหาสะท้อน (สายโบราณ) ...ก่อนสวด มักกล่าวบูชาพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ และตั้งจิตให้บริสุทธิ์ ตั้งนะโม 3 จบ ...“อิมัง คาถามหาสะท้อน ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายโปรดประสิทธิ์ ประสาทพร ให้คาถานี้คุ้มครองข้าพเจ้าพ้นจากภยันตรายทั้งปวง เทอญ”คาถามหาสะท้อน...“พุทโธ ธัมโม สังโฆ กายะ วาจา จิตตัง มะหาสะท้อนกลับ สัพพะอันตรายัง สะท้อนกลับไปหาผู้คิดร้าย สัพพะเสนีวินาสสันติ” (สวด 3, 9 หรือ 13 จบ ตามศรัทธา)ย้ำว่า “คาถามหา สะท้อน” ไม่เพียงเป็นมนตราศักดิ์สิทธิ์ในสายไสยเวท แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า พลังความคิดและการกระทำของมนุษย์ ย่อมย้อนกลับมาหาเราเสมอผู้คิดร้าย...ย่อมรับผลร้ายผู้ตั้งใจดี...ย่อมได้รับการคุ้มครอง คงต้องยอมรับความจริงหนึ่งที่ว่าในโลกแห่งความเชื่อของผู้คนนั้น...บางครั้งสิ่งที่มองไม่เห็นก็ทรงพลังยิ่งกว่า “ดาบ” หรือ “ปืน” ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในนั้นก็คือ...“คาถามหาสะท้อน” หรือที่บางสายเรียก “คาถาสะท้อนกลับ” ซึ่งคาถานี้ถูกเล่าขานว่ามีอานุภาพในการปกป้องผู้สวดบูชาหากผู้ใดถูกคุณไสย มนตร์ดำ หรือแม้กระทั่งคำสาปแช่ง คาถานี้จะสะท้อนกลับไปยังผู้คิดร้ายทันที ว่ากันว่า...ต้นตำรับคาถาสายนี้เชื่อว่ามีรากฐานจาก “คาถากันภัย” ที่ผสมทั้งพุทธเวทย์และไสยเวทโบราณพิธีบูชามักเริ่มด้วยการจุดธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม น้ำสะอาด 1 แก้ว ตั้งจิตอธิษฐานด้วยความบริสุทธิ์ใจ...ให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวรักษาศีล ทำใจสงบ แล้วสวดคาถาสะท้อนกลับด้วยเสียงมั่นคง เชื่อกันว่า “พลังบุญ” และ “พลังแห่งคาถา” จะสร้างเกราะกำบังรอบตัวในโลกที่มองไม่เห็น...ยังมีพลังบางอย่างที่มนุษย์เราไม่อาจอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์หรือเหตุผล หากแต่ต้องพึ่งพา “ศรัทธา” และ “ความเชื่อ” ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ในวิถีชาวบ้านแต่ครั้งโบราณ เมื่อออกเดินทางยามค่ำคืน หรืออยู่ในที่กันดาร มักจะท่อง “คาถากันภัย” เพื่อสร้างกำลังใจเสมือน...พก “ดาบวิเศษ” ป้องกันสิ่งอัปมงคล บางตำรากล่าวไว้ว่าพระเกจิผู้ทรงญาณ เช่น หลวงปู่ หลวงพ่อชื่อดังหลายท่าน ได้ถ่ายทอดคาถาสะท้อนกลับแก่ลูกศิษย์ เพื่อใช้ในยามคับขัน ศรัทธาที่แท้จริง...ไม่ใช่การเชื่ออย่างงมงาย แต่เป็นการถือคาถาเป็น “เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ” สร้างความกล้า ความมั่นคง และความเชื่อมั่นว่าตนเองจะพ้นภัยมุมผู้ศรัทธา คาถามหาสะท้อนนับเป็นที่พึ่งทางใจสำคัญ ยิ่งเมื่อสวดด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธาจะสร้างพลังให้หัวใจเข้มแข็ง และความกลัวถูกแทนที่ด้วยความมั่นใจ พลังใจนี่เองที่อาจเป็น “ปาฏิหาริย์ที่แท้จริง”คาถามหาสะท้อนจึงไม่ใช่เพียงเวทมนตร์ แต่คือบทเรียนของความศรัทธา สะท้อนกลับมิใช่เพียงคุณไสยหรือคำสาป แต่สะท้อนให้เห็นว่า...ผู้ใดคิดร้าย ย่อมได้รับผลแห่งกรรมคืนกลับเสมอทุกวันนี้ แม้โลกจะหมุนเร็วด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่เสียงสวด “คาถาสะท้อนกลับ” ยังดังก้องในวิถีชาวบ้านและผู้ศรัทธาไม่ว่าจะเป็นเกราะกำบังจริงแท้ หรือเป็นเพียงพลังใจ“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้..“ลบหลู่”.รัก–ยมคลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม