ประกาศล่าสุดของทำเนียบขาวเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา เรื่องค่าธรรมเนียมวีซ่าทำงานระยะชั่วคราว H-1B แบบใหม่ 100,000 ดอลลาร์หรือกว่า 3 ล้านบาท ต่อผู้สมัครที่มีความชำนาญพิเศษในสาขาวิชาชีพ เช่น วิศวกร พยาบาล นักวิจัย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวอินเดีย (71%) และชาวจีน (11.7%)กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดแรงงานเทคโนโลยีในสหรัฐ อเมริกา แม้หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวแล้ว แต่ผลกระทบที่แท้จริงกำลังเริ่มชัดเจน โดยเฉพาะต่อบรรดาบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) บริษัทขนาดกลางและเล็ก รวมถึงสถาบันการศึกษาและองค์กรด้านสาธารณสุข ซึ่งการปรับตัวไม่ทันอาจกระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญอย่าง AI, Cloud Computing และชิปประมวลผลข้อกำหนดนี้มีผลบังคับใช้แล้วและมีข้อยกเว้นจำกัดคือ ไม่ครอบคลุมการต่ออายุวีซ่า (Renewal) หรือการโอนย้ายไปทำงานกับนายจ้างใหม่ (Transfer) ซึ่งจะยังคงใช้อัตราค่าธรรมเนียมเดิมที่ 1,700-4,500 ดอลลาร์ฯ ส่วนหลายองค์กร โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาและองค์กรไม่แสวงหากำไร กำลังทบทวนผลกระทบทางกฎหมายและเตรียมฟ้องร้องเพื่อคัดค้านก่อนหน้านี้ค่าธรรมเนียม H-1B อยู่ในระดับหลักพันหรือหมื่นดอลลาร์ การเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ดอลลาร์ต่อคน ทำให้การจ้างวิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญต่างชาติกลายเป็นต้นทุนมหาศาล โดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็กโดยเฉพาะบริษัทเอ็นวิเดีย (Nvidia) ที่ซีอีโอ “เจนเซ่น หวง” ออกมาพูดว่า Prohibitively High หรือค่าธรรมเนียมที่สูงมากจนทำให้คนไม่สามารถซื้อได้ และกล่าวว่าแม้แต่ครอบครัวของเขาเองก็คงไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมนี้ได้หากต้องย้ายมาสหรัฐฯในยุคปัจจุบัน“หวง” ระบุว่านโยบายการจ้างงานต่างชาติเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของ Nvidia และประกาศว่า บริษัทจะจ่ายค่าธรรมเนียม H-1B 100,000 ดอลลาร์ฯให้กับพนักงานที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ Nvidia ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มหลายล้านดอลลาร์ต่อปี ขณะที่ยังคงรักษาการเข้าถึง Talent Pipeline หรือกลุ่มที่มีความสามารถสูงด้าน AI และชิปเมื่อมองในเชิงตัวเลข บริษัทที่ได้รับผลกระทบสูงสุดยังคงเป็น Big Tech เช่น อะเมซอน, ไมโครซอฟต์, เมตา, กูเกิล, แอปเปิล และ เอ็นวิเดีย โดย อะเมซอน ต้องการวีซ่า H-1B สูงสุดประมาณ 4,500 คนต่อปี อาจทำให้บริษัทต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มเติมกว่า 400 ล้านดอลลาร์ฯต่อปีตามด้วย TCS, Infosys และ Cognizant เป็นบริษัทในแวดวง IT Services และ Consulting จากอินเดีย ที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การให้คำปรึกษาทางธุรกิจ และโซลูชันดิจิทัลแก่ลูกค้าทั่วโลก ต้องใช้พนักงาน H-1B ประมาณ 3,500 คนต่อปีส่วนไมโครซอฟต์ 3,200 คน เมตา 2,900 คน กูเกิล 2,800 คน แอปเปิล 2,500 คน เอ็นวิเดีย 1,470 คน ส่วนอินเทล, ไอบีเอ็ม ประมาณ 1,200 คน ด้านธุรกิจ SME สตาร์ตอัพ รวมประมาณ 500 คน และมหาวิทยาลัย/แล็บวิจัย ประมาณ 400 คน หากทุกคนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเต็ม 100,000 ดอลลาร์ ค่าใช้จ่ายต่อปีของบริษัทเหล่านี้จะสูงมหาศาลผู้บริหารบริษัทเหล่านี้เริ่มออกมาประเมินกลยุทธ์การจ้างงานใหม่ โดยเน้นการผสมผสานระหว่างการจ้างงาน ภายในสหรัฐฯ การโอนย้ายพนัก งาน H-1B เดิม และการจ้างงานระยะไกลหรือ Outsourcing จากต่างประเทศสถาบันการศึกษาหลายแห่งได้ฟ้องศาลเพื่อระงับการบังคับใช้ค่าธรรมเนียม โดยเตือนถึงผลกระทบต่อโครงการวิจัยสำคัญ โรงพยาบาลชนบทและโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลพึ่งพาพนักงานต่างชาติบางส่วน ทำให้ค่าใช้จ่าย 100,000 ดอลลาร์ฯต่อคนอาจทำให้ไม่สามารถจ้างได้ผลกระทบต่อแรงงานแบ่งตามกลุ่มชัดเจน วิศวกรดูแลระบบ AI และโมเดล Machine Learning และผู้เชี่ยวชาญด้าน Cloud Computing ของ Big Tech จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่ขอวีซ่า H-1B จำนวนมากซึ่งการจ้างงานล่าช้าและต้นทุนสูงอาจทำให้ไทม์ไลน์ของโครงการต้องปรับลดนักวิจัยทางวิชาการ และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยก็เสี่ยงเช่นกัน เนื่องจากโครงการวิจัยอาจชะงัก หากไม่สามารถยื่น H-1B ได้ทันเวลาขณะที่ SME สตาร์ตอัพ ที่พึ่งพาวิศวกรเฉพาะด้านก็ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน ไม่สามารถแข่งขันกับ Big Tech ในการดึงดูดบุคลากรต่างชาติ ต้องปรับแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และอาจต้องย้ายฐานการดำเนินงานไปต่างประเทศ.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทความไซเบอร์เน็ต” เพิ่มเติม