ทุกวันที่ 30 กันยายนของปี คือวาระแห่งการอำลาหน้าที่ราชการของข้าราชการไทย ทว่า “การเกษียณอายุราชการ” ไม่ได้เป็นเพียงพิธีการส่งไม้ต่อ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ งบประมาณ และโครงสร้างกำลังคนในระบบราชการในภาพรวมปัจจุบันประเทศไทยมีข้าราชการพลเรือนและภาครัฐ ซึ่งยังคงเป็นกลไกหลักของประเทศ รวมกว่า 3 ล้านคน กระจายอยู่ในทุกกระทรวง กรม กอง และหน่วยงานต่างๆตลอด 30-40 ปีในชีวิตราชการ ข้าราชการจำนวนมากเริ่มต้นด้วยเงินเดือนแรกเพียง 1,500-3,000 บาท (ในช่วงปี 2520-2530) แต่ค่อยๆเติบโตตามขั้นเงินเดือนจนถึงเกษียณปัจจุบันเฉลี่ย 3-6 หมื่นบาท...แม้ตัวเลขเงินเดือนจะไม่สูงนักหากเทียบกับภาคเอกชน แต่สิ่งที่ข้าราชการหลายคนยืนยันตรงกันคือ...“ความมั่นคง” และ “เกียรติภูมิ” ของการได้รับใช้ชาติตลอดเส้นทางชีวิตราชการ ข้าราชการจำนวนมากเริ่มต้นจากศูนย์ ด้วยความตั้งใจเพียงหนึ่งเดียวคือทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นครูที่จุดประกายความรู้ พยาบาลที่เฝ้าดูแลผู้ป่วย ตำรวจที่ยืนหยัดบนเส้นทางกฎหมาย หรือข้าราชการ ฝ่ายปกครองที่แบกรับความสงบสุขของบ้านเมือง ฯลฯทุกตำแหน่ง ทุกหน้าที่ คือ “ฟันเฟืองเล็กๆ” ที่ขับเคลื่อนประเทศให้ยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ย้อนภาพความทรงจำในวันบรรจุเข้ารับราชการใหม่ๆยังแจ่มชัด หลายคนยอมรับว่าเต็มไปด้วยความกังวล ความไม่มั่นใจ แต่ก็เดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่น อดทน“วิชัย” ข้าราชการครูที่เกษียณอายุในปีนี้ เล่าด้วยรอยยิ้มว่า “ผมจำได้ดี...ตอนนั้นเป็นครูหนุ่มวัยยี่สิบกว่า ถือสมุดบัญชีเงินเดือนไม่มาก แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือได้ทำงานสอนหนังสือเด็กๆบ้านนอก ทุกวันคือความท้าทาย ทุกปีคือการเรียนรู้ และวันนี้เมื่อมองย้อนกลับไป ทุกหยดเหงื่อคุ้มค่า”“อรุณี” พยาบาลวิชาชีพ บอกว่า ชีวิตราชการไม่เคยง่าย เราอยู่เวรกลางคืน เดินเข้าออกห้องฉุกเฉินจนเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อถึงวันเกษียณ มองย้อนกลับไป สิ่งที่ทำให้ภูมิใจที่สุดไม่ใช่เงินเดือน ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่คือรอยยิ้มและคำขอบคุณจากผู้ป่วยและครอบครัวขณะที่ พันตำรวจเอกเกษียณท่านหนึ่ง ฝากมุมมองเอาไว้ว่า ความภาคภูมิใจของตำรวจไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบหรือยศ แต่คือการได้ปกป้องบ้านเมืองจนถึงวันสุดท้ายของการปฏิบัติหน้าที่“ความภาคภูมิใจของการเป็นข้าราชการ ไม่ได้อยู่ที่ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่อยู่ที่ได้ปกป้องแผ่นดิน วันนี้ผมอาจเกษียณจากเครื่องแบบ แต่หัวใจยังเป็นข้าราชการไทยตลอดไป”ประสบการณ์วันวานที่เหนื่อยยาก...ไม่ใช่เพียงการทำงานตามหน้าที่ แต่คือการเสียสละส่วนตนเพื่อสังคม ข้าราชการรุ่นเก่าหลายคนมีเรื่องราวเล่าขานย้อนวันเวลาถึงวันที่ต้องเดินเท้าลุยโคลนไปตรวจพื้นที่น้ำท่วม...ครูในชนบทที่ต้องนั่งรถอีแต๋นไปสอนเด็กๆ ตำรวจที่เฝ้าตู้ยามในคืนฝนพรำ หรือ...พยาบาลที่อยู่เวรไม่รู้จักวันหยุด ทุกประสบการณ์คือร่องรอยของ “ความพากเพียร”ข้าราชการครูเกษียณไม่น้อยคุยให้ฟัง...ชีวิตราชการไม่เคยง่าย แต่ทุกหยาดเหงื่อคือความภูมิใจ วันนี้แม้จะเกษียณ แต่ร่องรอยความพยายามที่ทิ้งไว้ให้ลูกศิษย์ยังคงอยู่ตลอดไปบางท่าน...เงินเดือนอาจไม่สูงลิบ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำว่า “ขอบคุณค่ะ” คำคำเดียวก็ทำให้ทุกความเหนื่อยกลายเป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านมาจนถึงวันเกษียณกระนั้นแล้วแม้การเกษียณจะหมายถึงการวางภาระหน้าที่ราชการ แต่หลายคนกลับมองว่าเป็น “โอกาสใหม่” ในการใช้ชีวิต เกษม อดีตข้าราชการกรมชลประทาน เสริมว่า การเกษียณไม่ใช่การหยุด แต่เป็นการเริ่มต้น เรามีเวลาอยู่กับครอบครัว มีโอกาสทำสิ่งที่อยากทำและยังสามารถนำประสบการณ์มาช่วยสังคมต่อไป“วันเกษียณ” จึงไม่ใช่แค่การส่งไม้ต่อ แต่คือการสดุดีแด่ผู้ที่อุทิศแรงกายแรงใจมาทั้งชีวิต ข้าราชการทุกคนได้พิสูจน์แล้วว่า “ความซื่อสัตย์ ความเพียร และความเสียสละ” คือคุณค่าที่แท้จริงวันวานที่พากเพียร...คือรากฐานวันเกษียณที่ภาคภูมิ...คือผลลัพธ์ อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม บอกว่า วันวานที่พากเพียร วันเกษียณที่ภาคภูมิ...แด่ข้าราชการทุกท่าน เมื่อ 30 กันยามาเยือน เดือนเกษียณเปลี่ยนชีวิตเลิกแนวทางที่ยึดติด พร้อมทั้งปิดทุกปัญหา คนคุ้นเคยที่ร่วมงานอยู่มานานต้องกล่าวคำว่าอำลาสุดอาลัย“ผู้มีอำนาจที่เกษียณอายุออกจากราชการแล้ว หากท่านยังอยากทำงานเพื่อเกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนส่วนรวมและสังคมทั่วไปตามความรู้ความสามารถของท่าน...แนะนำให้เข้าไปใกล้ชิดหรือทำงานร่วมกับชุมชนหรือสมาคมภาคประชาชน ท่านจะเห็นมุมมองอีกด้าน”ด้านที่ว่านี้...ไม่เหมือนการมองจากระบบราชการสู่ประชาชน (inside out) แต่ท่านอาจจะเห็นในภาพที่ประชาชนเดือดร้อนจากการทำงานที่ไม่เป็นธรรมของภาครัฐมากยิ่งขึ้น (outside in) ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ท่านควรเป็นสะพานเชื่อมต่อกับราชการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่หากยังจะไปทำงานในฐานะที่ปรึกษาหรือไปเป็นกรรมการหลายๆชุดในที่ทำงานเดิมโดยการอุดหนุนเกื้อกูลของลูกน้องเก่า ภาพที่คนส่วนใหญ่มองก็คือตรายางหรือชีวิตที่เกาะราชการนั่นเอง... ประเทศที่เจริญแล้วเขาไม่ทำกัน เขาต้องการคนทำงานรุ่นใหม่ที่มีความคิดริเริ่ม (Creative thinking) และทักษะความสามารถ (competency) มากกว่าต้องมารับฟังความคิดเห็นแบบเดิมๆ“เกษียณแล้วอย่ากระสันเป็นใหญ่เป็นโตอีกต่อไป...มีความสุขกับครอบครัวและคนรอบข้างบ้าง” บุคคลท่านหนึ่งกล่าวไว้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม