ผมขอแสดงความชื่นชม คุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีต่างประเทศคนนอก ใน รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ช่วยกอบกู้ชื่อเสียงศักดิ์ศรีประเทศไทยในเวทีโลกกลับคืนมาหลังจากที่ รัฐบาลเพื่อไทย ของ อดีตนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ทำชื่อเสียงศักดิ์ศรีของไทยเสียหายป่นปี้ เพราะไปสนิทสนมกับ “เขมรฮุน เซน” เรียก ฮุน เซน เป็น “คุณลุงอังเคิล” ไทยถูกเขมรเจ้าเล่ห์กล่าวหาในเวทีโลกโดยรัฐบาลเพื่อไทยไร้ปัญญาตอบโต้ สร้างปัญหายืดเยื้อมาถึงวันนี้ ทำให้เศรษฐกิจและการค้าชายแดนไทยเสียหายไปหลายแสนล้านบาทผมเชื่อว่าคนไทยที่รักชาติได้ฟังการตอบโต้ของ คุณสีหศักดิ์ รัฐมนตรีต่างประเทศไทยในเวทียูเอ็นแล้ว คงชื่นชมเหมือนผม แม้ คุณสีหศักดิ์ จะเพิ่งเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ ยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่เมื่อรู้ว่าเขมรจะไปใส่ร้ายไทยที่ยูเอ็น ก็แสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ บินไปปกป้องชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของชาติทันที และได้รับเสียงปรบมือลั่นที่ประชุมยูเอ็นปรัก สุคน รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศเขมร ได้กล่าวหาไทยซ้ำซากในเวทีสหประชาชาติด้วยการ “ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ” ไทยรังแกกัมพูชา แต่ครั้งนี้ไทยโชคดีที่ คุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีต่างประเทศ ทันเกมบินไปแถลงตอบโต้ทันที หลังจากเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ทำให้ไทยถูกเขมรกล่าวร้ายด้วยข้อมูลเท็จ แต่เพียงฝ่ายเดียวผมขอนำคำพูดของ รัฐมนตรีสีหศักดิ์ มาลงให้อ่านกันอีกครั้งด้วยความชื่นชมนะครับ“...เช้าวันนี้ ผมตั้งใจจะกล่าวในประเด็นที่ต่างจากนี้ และในเชิงบวกที่สะท้อนถึงความหวังสำหรับอนาคต แต่ผมจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยแถลงนี้ใหม่ เพราะคำกล่าวที่น่าผิดหวังโดยเพื่อนกัมพูชาของผม (ปรัก สุคน) เป็นที่น่าเสียใจว่ากัมพูชายังคงสร้างภาพให้ตนเป็นผู้ถูกกระทำ กัมพูชาได้ให้ข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตนที่ไม่สามารถยืนยันได้ เมื่อถูกตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะสิ่งที่กล่าวเป็นการบิดเบือนความจริงเราต่างรู้ว่าใครคือผู้ถูกกระทำที่แท้จริง ผู้ถูกกระทำที่แท้จริงคือ ทหารไทยที่ต้องสูญเสียขาจากทุ่นระเบิด คือเด็กๆที่โรงเรียนถูกโจมตี และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจับจ่ายซื้อของในวันนั้นที่ร้านสะดวกซื้อ ที่ถูกโจมตีจากจรวดของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวานนี้ ผมได้พบกับเพื่อนกัมพูชาที่สหประชาชาติแห่งนี้ เรา ได้พูดคุยกันในเรื่องสันติภาพ การเจรจา ความไว้ใจ และความเชื่อมั่น ประเด็นเหล่านี้ ได้รับการยืนยันในการหารืออย่างไม่เป็นทางการ 4 ฝ่าย จัดโดยสหรัฐอเมริกา เราขอขอบคุณ ประธานาธิบดีทรัมป์ สำหรับความมุ่งมั่นต่อสันติภาพของท่าน แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า คำกล่าวของกัมพูชาในวันนี้ ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวในการหารือเมื่อวาน แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา คำกล่าวหาของกัมพูชานั้นเป็นสิ่งที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก จนทำให้ความจริงถูกบิดเบือนอย่างสิ้นเชิง...”“...หมู่บ้านที่กัมพูชากล่าวถึงก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่ในดินแดนไทยอย่างชัดเจน ตามข้อเท็จจริง หมู่บ้านเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะประเทศไทยตัดสินใจเปิดพรมแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม เพื่อให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หนีสงครามกลางเมือง (สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา มีชาวเขมรถูกสังหารไปกว่า 2 ล้านคนที่ทุ่งสังหาร ในกรุงพนมเปญ ซึ่งมีอนุสาวรีย์หัวกะโหลกให้คนรุ่นหลังได้ดูในทุกวันนี้) ได้เข้ามาลี้ภัยในประเทศไทย เราตัดสินใจบนหลักการของความเมตตาและมนุษยธรรม แม้สงครามกลางเมืองได้สิ้นสุดลง ที่พักพิงได้ปิดตัวลง แต่หมู่บ้านชาวกัมพูชายังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา แม้ไทยจะประท้วงซ้ำแล้วซ้ำอีก กัมพูชาก็ไม่ยอมแก้ไขการรุกล้ำดังกล่าว...”...ในวันนี้ ประเทศของเราทั้งสองต้องตัดสินใจเลือกเส้นทาง ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนบ้านและมิตรกัน ประเทศไทยขอถามกัมพูชาว่า จะเลือกเส้นทางใด เส้นทางของการเผชิญหน้า หรือ เส้นทางสันติภาพและความร่วมมือ ประเทศไทยขอเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ เพราะเราเชื่อว่า เป็นสิ่งที่ประชาชนสองประเทศสมควรได้รับ แต่เรายังมีข้อสงสัยว่า กัมพูชาตั้งใจที่จะร่วมมือกับเราในการมุ่งสู่สันติภาพหรือไม่...” เป็นนักการทูตมืออาชีพจริงๆ ไม่ใช่ “รัฐมนตรีวอลเปเปอร์” ที่ประเทศไทยเราเคยมี.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม