วันนี้และพรุ่งนี้ 29-30 กันยายน คุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯคนที่ 32 นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นเวลาสองวัน และเริ่มนับหนึ่งเข้าบริหารประเทศตั้งแต่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป “ครม.เสี่ยหนู” มีอายุการทำงานเต็มเวลาเพียง 4 เดือน 120 วันตาม MOA กับพรรคส้ม จะประกาศยุบสภาวันที่ 121 เลือกตั้งต้นปีหน้า และรักษาการอีก 4 เดือนก่อนมีรัฐบาลใหม่ ก็หวังว่า “นายกฯหนู” จะยึดมั่นในไทม์ไลน์นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อคำพูดของรัฐบาล ไม่พูดจากลับไปกลับมาแล้วแก้ตัวน้ำขุ่นๆอย่างรัฐบาลที่ผ่านมา จนทำลายความเชื่อมั่นของประเทศไทยไปทั่วโลก นักลงทุนก็ไม่เชื่อมั่นในคำพูดของรัฐบาล นักท่องเที่ยวก็ไม่เชื่อมั่นในคำพูดของรัฐบาลก่อนพูด “เราเป็นนาย” เมื่อพูดออกไปแล้ว “คำพูดเป็นนาย” โปรดอย่าลืมความจริงข้อนี้ไปดู “นโยบายรัฐบาลหนู-1” ที่จะแถลงในวันนี้ เป็นนโยบายที่กระชับเพียง 7 หน้ากระดาษ ไม่เขียนยาวเหยียดเป็นน้ำท่วมทุ่ง จนนายกฯยังอ่านผิดอ่านถูกเพราะไม่รู้เรื่องนโยบายจริงก็มีตัวอย่างมาแล้ว การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาถือเป็นสัจจะที่นายกฯต้องปฏิบัติ ไม่ใช่สักแต่แถลงเป็นพิธีการ นายกฯอนุทิน ได้ประกาศ “หลักการบริหารราชการแผ่นดิน 3 ประการ” ไว้ชัดเจน 1.พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2.ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3.ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และ การบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล คดีเขากระโดง และ คดีฮั้ว สว. จะเป็นเครื่องพิสูจน์ “นายกฯหนู” รักษาสัจจะหรือไม่ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยวันนี้คือ เศรษฐกิจที่อ่อนล้า และ ความมั่นคงที่อ่อนแอแม้ไทยจะเพิ่งถูก Fitch Rating ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Stable (คงที่) เป็น Negative (เชิงลบ) จาก ความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มขึ้น (จากนโยบายประชานิยมพรรคเพื่อไทย แจกเงินคนละหมื่น วงเงิน 5 แสนล้านบาท ทั้งที่รัฐบาลต้องกู้เงินมาใช้จ่ายทุกปี) แต่ “การกระตุ้นเศรษฐกิจ” ในช่วงนี้ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น สองปีรัฐบาลเพื่อไทยทำเอาเศรษฐกิจไทยซบเซามาก การท่องเที่ยวที่เหลือเพียงเครื่องยนต์เดียวก็ซบเซาไปด้วยนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนที่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจและรัฐมนตรีคลัง จัดทำไว้ในนโยบายรัฐบาลชุดนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ด้าน ถ้าทำได้สำเร็จใน 4 เดือนนี้ โอกาสที่เศรษฐกิจฐานรากจะเงยหน้าอ้าปากก็มีสูง1.สร้างรายได้ ลดรายจ่าย โดยลดรายจ่ายในชีวิตประจำวัน อาทิ ลดค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทาง เพื่อให้มีเงินเหลือจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จัดทำโครงการ “คนละครึ่ง” จำนวน 33 ล้านสิทธิ วงเงินรวม 70,400 ล้านบาท ควบคู่การสร้างโอกาสสร้างรายได้แก่ผู้ค้ารายย่อย รวมทั้งการเรียนรู้ทักษะใหม่และการเพิ่มทักษะเพื่อสร้างโอกาสหารายได้2.แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง บทพื้นฐานความเสี่ยงที่เป็นธรรมระหว่างสถาบันการเงินกับผู้กู้ “หนี้ภาคประชาชน” จะช่วยเหลือแก้หนี้รายบุคคลในระบบ ไม่เกินรายละ 1 แสนบาท เพื่อลดปัญหาหนี้ และ “เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจเอสเอ็มอี” รายละ ไม่เกิน 1 ล้านบาท ควบคู่กับการสร้างระบบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนกับลูกหนี้ที่ชำระหนี้โดยสม่ำเสมอ3.เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย ให้ทุกคนมีสิทธิซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยสะดวก เพื่อสร้างรายได้เพิ่มจากดอกเบี้ย และพัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม4.ฟื้นความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้น สร้างความปลอดภัย ปราบปรามการฉ้อโกงและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจีนหนีก็เหตุนี้แหละ) จัดทำมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวไทยกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นผมเห็นด้วยกับนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลทุกอย่าง ถ้าเศรษฐกิจในประเทศฟื้น ระบบเศรษฐกิจก็จะฟื้นตามมา ไม่ว่า ความเชื่อมั่น การลงทุน การค้าขาย การใช้จ่าย ขอเพียง รัฐบาลมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ฉวยโอกาสสร้างนโยบายเพื่อทุจริต แค่นี้เศรษฐกิจไทยก็วิ่งฉิวแล้ว.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม