สุขภาพช่องปากที่ดี “ไม่ได้ส่งผลแค่ เคี้ยวอาหาร” แต่โยงถึงสุขภาพร่างกาย และสมองในระยะยาว “การรักษาฟัน” จึงไม่ใช่เรื่องความงามกลับเป็นเงื่อนไขให้การมีชีวิตยืนยาวแข็งแรงและมีคุณภาพที่ดีด้วยเพราะด้วยถ้าสุขภาพช่องปากไม่ดี “มักนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” จากการเกิดแบคทีเรียของฟันผุ หรือเหงือกอักเสบ ทำให้สุขภาพช่องปากไม่ใช่เรื่องเล็กๆ “คณะทันตแพทยศาสตร์ ม.กรุงเทพธนบุรี จับมือมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์” เพื่อมุ่งการวิจัยเชิงวิชาการการดูแลสุขภาพช่องปากของคนไทยยุคใหม่นำมาสู่การพัฒนานวัตกรรมมากมาย วรวุฒิ กุลแก้ว กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ บอกว่าเราได้ลงนาม MOU กับ ม.กรุงเทพธนบุรี ตั้งแต่ปี 2567 เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพช่องปากนำมาสู่ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก BTU Dentistry ที่สกัดจากหญ้าแฝกผ่านการรับรอง GAP กรมวิชาการเกษตรฯ ที่เปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้สำหรับงานวิจัยยาสีฟันจาก “สารสกัดหญ้าแฝก” มีจุดเริ่มต้นจากแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริเกี่ยวกับการนำหญ้าแฝกมาใช้ประโยชน์นอกเหนือจากการอนุรักษ์ดิน และน้ำ และในช่วงปี 2549-2550 จึงได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยต่อ ม.เชียงใหม่ เพื่อศึกษาคุณสมบัติของหญ้าแฝกในด้านทางการแพทย์ โดยศึกษาวิจัย 28 สายพันธุ์ก่อนจะค้นพบสาร “เวตติเวอริน (Vetiverin)” ที่ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในช่องปากเป็นสาเหตุฟันผุ และโรคปริทันต์ ก่อนนำมาประยุกต์พัฒนาใช้ในเชิงทันตกรรมเป็นผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งเลือกใช้หญ้าแฝกหอมอันมีน้ำมันสารระเหยตามธรรมชาติที่ส่งผลต่อความหอมสดชื่นถัดมายังมีความร่วมกัน “ก่อตั้งศูนย์พัฒนารากฟันเทียมไทยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 (ศรท.9)” เพื่อใช้สำหรับเป็นศูนย์ให้ความรู้ความเข้าใจในเชิงทฤษฎี และถ่ายทอดทักษะเฉพาะทางนวัตกรรมรากฟัน เทคโนโลยีแก่คนรุ่นใหม่ ผ่านการฝึกอบรม และปฏิบัติจริง เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการรากฟันเทียมแก่ประชาชนเพราะจริงๆแล้วประเทศไทยเริ่มผลิตรากฟันเทียมเองมาตั้งแต่ปี 2552 และให้บริการแก่ประชาชนที่เข้ามารับการปลูกรากฟันเทียมภายใต้โครงการเฉลิมพระเกียรติแล้วกว่า 70,000—80,000 รายแล้วก็โชคดีว่า ม.กรุงเทพธนบุรีมีทีมอาจารย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมที่เชี่ยวชาญสูงในประเทศขณะนี้ทำให้ความสำเร็จโครงการรากฟันเทียมถูกต่อยอดพัฒนางานวิจัยการดูแลสุขภาพช่องปากอื่นๆ ล่าสุดกำลังมีแผนการวิจัยผลิตภัณฑ์ยารักษาทางการแพทย์ขั้นสูง “ใช้ยีนเซลล์ หรือเนื้อเยื่อ” เพื่อรักษาโรค และการบาดเจ็บแนวทางที่ไทยมีเป้าผลักดันให้เกิดการพัฒนาในประเทศคือ “นวัตกรรมการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด” โดยวิจัยพัฒนาในรูปแบบ Sandbox Project เพื่อผ่อนปรนข้อกำหนดบางประการ ถ้าทำได้จริงจะเป็นครั้งแรกของโลกในการใช้สเต็มเซลล์ในด้านทันตกรรมที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เรื่องนี้ รศ.ทพ.ทองนารถ คำใจ คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ ม.กรุงเทพธนบุรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การวิจัยพัฒนานวัตกรรมการรักษาด้วยเซลล์บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นแล้วภายใต้กรอบ 2 ระยะ คือ ระยะแรก...“การใช้เซลล์จากถุงน้ำคร่ำ” ที่นำมาพัฒนาให้ได้ความเข้มข้นระดับ 5 ล้านเซลล์ต่อซีซี เพื่อรักษาโรคข้อต่อขากรรไกรอักเสบทั้งยังนำมาใช้ปลูกถ่ายกระดูกเป็นการผ่าตัดรักษาโรคปริทันต์อักเสบขั้นรุนแรง “อันนี้ได้มาจากสเต็มเซลล์เธราพี (Stem Cell Therapy)” และระยะที่สอง...“การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากฟัน” ในการเปลี่ยนการใช้เซลล์ต้นกำเนิดถุงน้ำคร่ำเนื่องจากมีข้อจำกัดจัดหายาก ทำให้ต้องใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟันเพราะภายในฟันจะมีโพรงประสาทเป็นแหล่งของสเต็มเซลล์ (Stem Cells) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเซนไคมอลสามารถจัดเก็บได้ต่อเนื่องจากประชาชน “ตราบใดที่ยังมีการถอนฟัน” ไม่ว่าจะเป็นฟันน้ำนม หรือฟันกรามมักไม่มีประโยชน์การใช้งาน แต่สามารถนำมาเก็บไว้ Biobanking เพื่อรักษาเซลล์ไว้ใช้ในอนาคต ด้วยการนำมาแยกและเลี้ยงขยายเซลล์ “จนได้หลายล้านเซลล์” ก่อนนำกลับมาฉีดให้ตัวเองช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมเนื้อเยื่อร่างกาย “อันเป็นการรักษาโรคมิติใหม่เน้นใช้สเต็มเซลล์ตัวเอง” ลดความเสี่ยงการเกิดการต่อต้านระบบภูมิคุ้มกัน เรื่องนี้ต้องมีความร่วมมือกับมูลนิธิทันตนวัตกรรมฯ ผลักดันให้เกิด Sandbox Project เสียก่อนจริงๆ แล้วความสำคัญสุขภาพช่องปาก “มีผลต่อคุณภาพชีวิต และอายุยืน” ถ้าสุขภาพช่องปากดีมักเป็นปัจจัยต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกายโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2021 ประกาศพื้นฐานสำหรับการมีอายุยืนอย่างคุณภาพต้องเกิดจากการมีฟันและเหงือกแข็งแรงร่วมด้วยโดย WHO ได้นำโมเดลมาจาก “ประเทศญี่ปุ่นที่มีผู้อายุขัยเฉลี่ยสูงสุดในโลก” โดยในปี 2016 ประกาศเป้าหมายสุขภาพช่องปากว่า “ประชาชนอายุ 80 ปีควรมีฟันธรรมชาติอย่างน้อย 20 ซี่เพื่อเคี้ยวอาหาร” แล้วญี่ปุ่นก็บรรลุเป้าหมาย “ผู้สูงอายุกว่า 51.2% มีฟันเคี้ยวอาหาร” ทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาวตามมาด้วยการที่ผู้สูงอายุสามารถเคี้ยวอาหารได้นั้นมักจะส่งผลให้การช่วยเหลือตัวเอง และทำกิจกรรมทางสังคมใช้ชีวิตประจำวันเป็นปกติ เช่น เต้นลีลาศ ออกกำลังกาย “แถมลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” ตัวอย่างเช่น เชื้อแบคทีเรียก่อให้เกิดโรคปริทันต์ในช่องปากนั้นเป็นชนิดเดียวกับโรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจเช่นนี้หากปล่อยให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในช่องปากก็อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบทั่วทั้งร่างกาย อีกทั้งสุขภาพฟันยังมีผลต่อการย่อยอาหาร “หากไม่มีฟันการเคี้ยวก็จะไม่สมบูรณ์” เป็นปัจจัยส่งผลต่อการเกิดโรคอื่นโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ หรือแม้แต่ภาวะท้องผูกจากการรับประทานคาร์โบไฮเดรตมากไป นอกจากนี้ สุขภาพฟันยังมีบทบาทกระตุ้นระบบประสาทโดยเส้นประสาทที่เลี้ยงฟันเชื่อมต่อถึงสมอง “การสูญเสียฟันระยะยาว” อาจส่งผลต่อการทำงานสมองนำไปสู่ภาวะเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ สิ่งนี้ WHO ค้นพบจนประกาศความสำคัญของสุขภาพช่องปากปี 2021 ว่าการรักษาฟันและเหงือกให้แข็งแรงเป็นพันธะระยะยาวตลอดชีวิตฉะนั้นเราต้องนำข้อความนี้ไปสื่อสารกับประชาชน “ตระหนักเรื่องสุขภาพในช่องปากตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ” แม้ในอดีตการดูแลฟันถูกมองว่า “เป็นเรื่องของคนมีฐานะ” แต่ปัจจุบันสุขภาพช่องปากกลายเป็นปัจจัยสำคัญของการมีชีวิตยืนยาวโดยเฉพาะในยุคที่เจนวายและเจนแซดมีแนวโน้มมีอายุยืน 85-100 ปีย้ำว่าการมีสุขภาพช่องปากที่ดี “ช่วยส่งเสริมให้มีอายุยืนอย่างมีคุณภาพ” นี่อาจเป็นการพลิกโฉมวงการแพทย์ด้านทันตกรรมเชื่อมโยงถึงสุขภาวะโดยรวมของร่างกาย และการพึ่งพาตนเองในอนาคต.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม