ในการประชุมคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนายกฯอิ๊งค์ที่มีท่านรอง และ รมว.มหาดไทย ภูมิธรรม เวชยชัย ทำหน้าที่รักษาการเมื่อ 2–3 สัปดาห์ก่อนโน้น มีมติเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่สำคัญตำแหน่งหนึ่งที่กองเชียร์ประเทศไทยหลายๆคนอ่านข่าวเจอแล้วถึงกับออกอาการงุนงงอยู่พักใหญ่ๆนั่นก็คือข่าวการโยกย้ายนาย ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ซึ่งดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีแล้ว แต่ยังมีอายุราชการเหลืออีก 1 ปี จึงจะเกษียณ ให้ไปเกษียณที่สำนักงานทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยกันที่ต้องงุนงงก็เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดตำแหน่งหนึ่งของระบบราชการไทย ถือเป็น “สมอง” และ “มือ” ของ “รัฐบาลไทย” หรือ “นายกรัฐมนตรีไทย” (ที่รู้จักใช้ และเห็นคุณค่า) ทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ว่าอย่างนั้นเถิด“ตำนาน” ที่ยังกล่าวขานกันจนถึงทุกวันนี้ก็คือผลงานการพัฒนาประเทศ ภายใต้การนำของ “ป๋าเปรม” พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 16 กับ ดร.เสนาะ อูนากูล เลขาธิการ สภาพัฒน์ คู่ใจ ที่สามารถนำพาประเทศไทยเข้าสู่ยุคโชติช่วงชัชวาลหลังจากนั้น แม้ “บทบาท” และ “บารมี” ของเลขาธิการสภาพัฒน์จะลดลงไปมาก แต่ก็ยังถือว่าเป็น “เสาหลัก” ของประเทศทางด้านเศรษฐกิจสังคมมาโดยตลอด รวมถึงในยุคของท่านเลขาธิการ ดนุชา พิชยนันท์ ที่มีข่าวว่าจะโดนโยกไปเกษียณที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติท่านขึ้นมาดำรงตำแหน่งในช่วงรัฐบาลลุงตู่และได้รับความไว้วางใจให้ทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งท่านและทีมงานสภาพัฒน์ก็ช่วยวางแผนไว้ ทั้งแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2 ฉบับล่าสุด ตลอดจนริเริ่มและเป็นกำลังหลักในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และ ฯลฯมาเริ่มแผ่วลงในยุคของรัฐบาล เพื่อไทย ที่มีทีมเศรษฐกิจของตนเอง และมีความฝันด้านเศรษฐกิจที่ดูเหมือนล้ำสมัย แต่ไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมกับการปฏิบัติในประเทศไทยท่าน เลขาธิการดนุชา และทีมงานของท่านได้แสดงความเห็นคัดค้าน ชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสียตามหลักวิชาการอย่างครบถ้วน ซึ่งแม้จะใช้ภาษาทางราชการและทางวิชาการที่สุภาพและอ่อนน้อม แต่เมื่อเนื้อหาเป็นไปในทำนอง “ไม่เห็นด้วย” กับโครงการดังกล่าว ย่อมจะไม่ทำให้เจ้าของโครงการทั้งหลายบังเกิดความชื่นชอบอย่างแน่นอนแว่บแรกผมยังนึกว่าท่านถูกย้าย เพราะเหตุเหล่านี้เสียด้วยซ้ำแต่เมื่อฟังเสียงท่านเลขาธิการ ดนุชา ในการให้สัมภาษณ์ต่างๆก็มิได้มีอาการที่ขุ่นข้องหมองใจอย่างใดเลย ยินดีที่จะไปทำงานใหม่เต็มที่ แม้จะเหลือปีเดียวก็ตามประกอบกับได้ทราบว่าท่านได้ดำรงตำแหน่งที่สภาพัฒน์มาถึง 5 ปีแล้ว เมื่อปีกลายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนี่แหละก็ได้ต่ออายุมาให้ 1 ปีแล้ว--ผมก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นรวมทั้งในสัปดาห์ถัดมารัฐบาลปัจจุบันก็มีมติแต่งตั้งเลขาธิการสภาพัฒน์ท่านใหม่ ได้แก่ น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยส่วนตัวผมไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน แต่ก็ทราบถึงประวัติและความรู้ความสามารถ ตลอดจนความก้าวหน้าและความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ราชการมาพอสังเขปที่สำคัญท่านเรียนมาทางเศรษฐศาสตร์โดยตรง จบเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ, สอบชิงทุนไปต่อปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ที่สหรัฐฯ, กลับมาใช้ทุนที่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แหล่งเพาะข้าราชการเก่งๆ อยู่ถึง 20 กว่าปี ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ก.พ.ร. ซึ่งเป็น กรรมการสภาพัฒน์ โดยตำแหน่ง ซึ่งก็แปลว่าคุ้นเคยกับงาน ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างดียิ่งท่านอายุเพียง 55 ปีเท่านั้น...จะต้องดำรงตำแหน่งนี้ไปอีก 5 ปีจึงจะเกษียณ...ขอให้โชคดีนะครับ!“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม