นโยบายการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างใหญ่หลวงกว่าที่หลายคนคิด ซึ่งธุรกิจร้านเสริมสวยก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยหลังการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าของนายทรัมป์ ตอนนี้ธุรกิจร้านเสริมสวยความงามซึ่งคนผิวดำเป็นเจ้าของในประเทศสหรัฐฯ ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ดังเช่น ร้านเสริมสวยของนาง “ไดจาห์ แบล็คเชียร์-แคลโลเวย์” ที่รัฐจอร์เจีย ลูกค้าลดลงฮวบฮาบในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยปกติร้านเสริมสวยของนาง “ไดจาห์” คิดราคาค่าบริการราคาระหว่าง 1,630 บาทไปจนถึงราคาสูงสุดกว่า 24,000 บาท โดยบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของร้านเธอคือ การต่อผมและถักเปียให้ลูกค้า ซึ่งมีสนนราคาราว 8,200 บาทสาเหตุที่ลูกค้าร้านเสริมสวยของนาง “ไดจาห์” ลดลงเป็นเพราะความจำเป็นต้องขึ้นราคาค่าบริการเนื่องจากวัตถุดิบที่ร้านเสริมสวยของคนผิวดำส่วนใหญ่นำเข้า มาจากประเทศจีน เมื่อสินค้านำเข้าจากจีนเจอกำแพงภาษี 30% ของนายทรัมป์ ราคาก็พุ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น กาวต่อผม 1 ขวดจากจีน ราคาเพิ่มจากขวดละ 8 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 260 บาทขึ้นมาเกือบ 2 เท่าเป็น 14.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 488 บาท และสินค้านำเข้าตัวอื่นก็ขึ้นราคาเหมือนกัน เมื่อต้นทุนสูงขึ้น การขึ้นราคาสินค้าหรือบริการก็มักตามมาด้วยแต่พอขึ้นราคาสินค้าบริการ ลูกค้าก็มักหดหายเป็นธรรมดา และไม่ใช่ร้านของนาง “ไดจาห์” เท่านั้นที่เจอผลกระทบจากกำแพงภาษี ร้านซัพพลายเออร์สินค้าความงามของนาง “ไดแอนน์ วาเลนไทน์” เจอค่าวิกผมนำเข้าจากจีนจำนวน 26,000 ชุด ปาเข้าไปถึง 9.7 ล้านบาท เมื่อไปรับสินค้าที่ท่าเรือนครลอสแอนเจลิส เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นาง “ไดแอนน์” ต้องขึ้นราคาค่าบริการอีก 20 เปอร์เซ็นต์ และจำต้องเลิกจ้างพนักงาน 4 คน และทำงานถึงวันละ 16 ชั่วโมงเป็นการชดเชยองค์กร “บรู๊กกิง อินสติวชัน” ของสหรัฐฯ ที่ทำการวิจัยด้านการตลาดและเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า คนผิวดำจำนวนมากไม่ได้มีต้นทุนมากนักในการเริ่มต้นทำธุรกิจ เมื่อเจอกำแพงภาษีโหดของนายทรัมป์ ก็จะรับผลกระทบรุนแรงมากเป็นพิเศษ และคาดว่า จะมีร้านเสริมสวยจำนวนมากอาจต้องปิดตัวลงในอนาคต.ผู้เล็กน้อยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม