ในอดีต “โรคเอดส์” หรือ “HIV” ถูกมองว่าเป็นโรคที่น่ากลัวและไม่มีทางรักษา หลายคนต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยและความรู้สึกโดดเดี่ยว แต่สถานการณ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์และระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง...ทำให้ “ผู้ติดเชื้อ HIV” สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีสุขภาพแข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ปัจจุบันการรักษาโรค HIV ทำได้โดยการรับประทาน “ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy–ART)” ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากในการ “ควบคุม” และ “ยับยั้ง” การเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส ยาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อนต่างๆได้เมื่อไม่นานมานี้ คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และวัณโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จัดงานแถลงข่าว “งานเอดส์ประเทศไทย : ก้าวได้ไกล ไปใกล้ถึง” ณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นิมิตร์ เทียนอุดม ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรคบอกว่า ผมอยากสื่อสารถึงคน 4 กลุ่มหนึ่ง...ผู้ป่วยเอดส์ที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการรักษา กรุณาโทร.เข้าสายด่วน 1663 หรือสายด่วน 1330 เพื่อแจ้งข้อมูล แล้วจะมีคนช่วยทำให้เข้าถึงการรักษา สอง...ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ขอให้โทร.เข้าสายด่วน 1663 หรือสายด่วน 1330 เช่นกัน เพื่อขอให้บริการตรวจหาเชื้อและบริการป้องกันโรคสาม...นายจ้างหรือผู้มีอำนาจรับคนเข้าทำงาน...เรียน อยากให้เข้าใจว่าคนที่มีเชื้อเอชไอวีและเข้าสู่การรักษาแล้วไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน กลุ่มนายจ้างมีความสำคัญในการสร้างบรรยากาศว่าเป็นเอดส์แล้วทำงานได้ ทำให้สังคมรู้สึกปลอดภัย ลดการรังเกียจกีดกันกันได้ สี่...แพทย์ พยาบาล หากมีผู้ติดเชื้อเดินเข้าไปในโรงพยาบาล กรุณานำเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วภายใน 1 วัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อได้อย่างมาก พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย เสริมว่า ตลอด 44 ปี ที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับโรคเอดส์ในประเทศไทย มี ข้อเท็จจริง (Fact) คือไทยมีโครงการยาต้าน เอดส์แห่งชาติเต็มรูปแบบในปี 2548 ทำให้ประเทศไทยดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ฟรีเริ่มตั้งแต่ปีดังกล่าวซึ่ง “ยาต้านไวรัสเอชไอวี” ปัจจุบันดีขึ้นมาก มีการพัฒนาจนกดไวรัสจนไม่ให้แพร่เชื้อได้ ทำให้คนไข้มีสุขภาพดี มีครอบครัวและมีลูกได้ ส่วน ข้อมูลเท็จ (Fake) คือคำว่าเอดส์ระยะสุดท้าย อยากให้ลบคำว่าเอดส์ระยะสุดท้ายออกไป เพราะด้วยยารักษามีประสิทธิภาพมาก ทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตแบบคนปกติปัจจุบันในระบบบัตรทอง 30 บาท มีงบให้การรักษากว่า 3,500 ล้านบาท ทั้งยังมีงบสำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอีกกว่า 680 ล้านบาท เรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหาในการดูแลผู้ป่วยเอชไอวี นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ย้ำว่า สถานการณ์โรคเอดส์ในขณะนี้ไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ราวปีละ 8,000 คน แต่ด้วยประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิผล ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมที่มีชีวิตอยู่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5.5 แสนคน“ในจำนวนนี้กว่า 4 แสนคนที่ทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอจนอยู่ในระดับที่ไม่แพร่เชื้อและดูด้วยสายตาแล้วเหมือนคนปกติทั่วไป อย่างไรก็ดี ผู้ติดเชื้ออีกราว 1.5 แสนคนนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจของสังคม เพื่อลดการตีตรา ด้วยเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่กล้าแสดงตัวตนออกมารับยาต้านไวรัสหรือรับการตรวจหาเชื้อ”นอกจากนี้ในส่วนของผู้ที่ควรจะทานยาป้องกันเอชไอวี (Prep) ยังมีอยู่ไม่ถึง 20% จากกลุ่มเสี่ยงที่ควรกินยาทั้งหมด หมายความว่าคนกลุ่มนี้มีโอกาสติดเชื้อและอาจทำให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นได้ในอนาคตได้ ดังนั้นจึงต้องการความร่วมมือในการสื่อสารให้ใช้ถุงยางอนามัย หรือทานยา Prepถึงตรงนี้...คณะกรรมการยุติปัญหาเอดส์แห่งชาติตั้งเป้ายุติปัญหาเอดส์ในปี 2573 โดยคาดหวังว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อปีจะไม่ถึง 1,000 คน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตไม่เกิน 4,000 คนต่อปี รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการ สปสช. บอกอีกว่า วันนี้โรคเอดส์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะมียาที่สามารถจำกัดไวรัสเอชไอวีในระดับที่ผู้ติดเชื่อไม่แพร่เชื้อได้ สปสช.มีชุดสิทธิประโยชน์ตั้งแต่ยาที่ป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก บริการชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อ เช่นเดียวกับถุงยางอนามัยก็สามารถรับได้ฟรีนอกจากนี้เรายังมีกระบวนการเชิงรุกที่เข้าไปในชุมชนเพื่อให้คำแนะนำและชักชวนเข้ารับการตรวจคัดกรอง หากตรวจแล้วไม่ติดเชื้อก็มียา Prep เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อต่อไป แต่หากติดเชื้อแล้วก็สามารถรับยาที่ควบคุมระดับไวรัสโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆนางยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า เธอกินยาต้านไวรัสมากว่า 20 ปี ยืนยันว่าเอชไอวีไม่สามารถทำลายชีวิตได้ ไม่มีคำว่า...“เอดส์ระยะสุดท้าย” เพราะระบบการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีความก้าวหน้ามาก มียาที่กินวันละครั้ง ผลข้างเคียงน้อย แต่สามารถลดจำนวนไวรัสให้ต่ำ“เพศสัมพันธ์แม้จะเพียงมีครั้งเดียวในชีวิตก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ...ใครที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรไปรับการตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะหลายๆคนในสังคมไม่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยง การตรวจแสดงถึงความรับผิดชอบต่อตัวเอง...คนรอบข้าง หากทุกคนทำได้จะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมโรคเอดส์เป็นอย่างมาก” ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์ฯ ว่า“เอดส์วันนี้กับ 40 ปีที่แล้วต่างกันมาก จากรักษาไม่ได้...ต้องตาย แต่วันนี้รักษาได้ ทั้งผู้ติดเชื้อเมื่อกินยาไป 1-2 เดือนก็มีสุขภาพแข็งแรง และเมื่อผ่านไป 3-6 เดือน คนคนนั้นจะไม่แพร่เชื้อให้ใครได้”โรค “เอดส์”...ในปัจจุบันได้กลายเป็นโรค...“ไม่ติดต่อเรื้อรัง” ไปแล้ว ปัญหาคือต้องทำให้การตรวจเลือดเป็นเรื่องปกติ หากตรวจเจอเร็วขึ้นก็หยุดการแพร่เชื้อได้...ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม