ครม. วันอังคาร (15 ก.ค.) มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางประกอบธุรกิจทางการเงินของโลก (Financial Hub)” เพื่อดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้เข้ามาประกอบธุรกิจในไทย ผ่านกลไกการส่งเสริมกำกับดูแล และให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการที่เข้ามาประกอบธุรกิจเป้าหมาย Financial Hub ประกอบด้วย ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจบริการการชำระเงิน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ และธุรกิจการเงินอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจการเงิน ตามที่คณะกรรมการฯกำหนดศูนย์กลางการเงินโลก (Financial Hub) จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด ยังไม่รู้ที่ไหนเป้าหมายของ ศูนย์กลางการเงินโลก (Financial Hub) เพื่อให้บริการด้านธุรกิจการเงิน “เฉพาะผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (non–residents)” เท่านั้น ห้ามไม่ให้บริการแก่ลูกค้าที่เป็น “คนไทย” ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะไหน เพราะการให้บริการแก่คนไทยด้วย อาจกระทบต่อความเชื่อมั่น และเกิดปัญหากับลูกค้าคนไทย หรือระบบการเงินรวมได้ แต่ต้องจ้างแรงงานไทยในสัดส่วนที่กำหนด ภายใต้กฎหมาย Financial Hub จะมีการจัดตั้ง “สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน” ขึ้นมาเป็นหน่วยงานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการ เพื่อกำกับดูแล มีคณะกรรมการฯ โดยมี รัฐมนตรีคลัง เป็นประธานนี่คือเนื้อหาใน กฎหมายศูนย์กลางการเงินโลก ของไทยแบบคร่าวๆ เป็น “ฝันเฟื่อง” ของ พรรคเพื่อไทย ซึ่งยังไม่รู้ จะต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปี จึงจะสามารถผงาดขึ้นเป็นศูนย์กลางการเงินโลกได้ ถ้านายกฯไทยยังต้องอ่านไอแพดที่มีคนคอยป้อนให้ทุกเรื่อง รัฐบาลชุดนี้ก็ยังไม่รู้อนาคต จะไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ และ กฎหมายจัดตั้งศูนย์กลางการเงินโลกจะมีโอกาสผ่านรัฐสภาชุดนี้ออกมาหรือไม่ เรื่องง่ายๆไม่ทำ กลับไปทำเรื่องยากๆข้อมูลการจัดอันดับ “เมืองศูนย์กลางการเงินโลก 2568” จาก Global Financial Centers lndex 37 ที่ออกมาเมื่อเดือนมีนาคม 2568 กรุงเทพมหานคร อยู่ในอันดับที่ 96 ของโลก ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ซึ่งอยู่อันดับที่ 96 และลดจากเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งอยู่ที่อันดับ 93 โดยมี นครนิวยอร์ก ครองอันดับ 1 เมืองศูนย์กลางการเงินโลก อันดับ 2 กรุงลอนดอน อันดับ 3 ฮ่องกง อันดับ 4 สิงคโปร์ อันดับ 5 ซานฟรานซิสโก เพื่อนบ้านไทย กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย อยู่อันดับที่ 51 จาการ์ตา อินโดนีเซีย อยู่อันดับ 97 และ โฮจิมินห์ ซิตี้ เวียดนาม อยู่อันดับ 98จะเห็นว่า ไทยยังห่างชั้นมาก โอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางการเงินโลกค่อนข้างริบหรี่ ไม่รู้จะเสียเวลาไปทำไม ผมว่าเอาเวลามาทุ่มเทฟื้นฟูประเทศให้คนไทยสามารถเงยหน้าอ้าปากได้ มีกินมีใช้ มีศักดิ์ศรีอย่างที่หาเสียงไว้จะดีกว่ามาก ฝีมือรัฐบาลขนาดนี้ไปไม่ถึงหรอกเมืองศูนย์กลางการเงินโลก อันดับต้นๆ ล้วนได้รับการออกแบบที่ซับซ้อน แต่โปร่งใส ทั้งกฎเกณฑ์กติกาและภาษี โครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินของประเทศมีความพร้อมด้านการระดมทุน และการเคลื่อนย้ายเงินทุน แต่ละเมืองยังมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน เช่น สิงคโปร์ มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) ฮ่องกง เป็นประตูทางการเงินสู่ประเทศจีน และยังเป็น เมืองศูนย์กลางการเงินโลกในย่านเอเชียแปซิฟิก มานานมาก PwC เปิดเผยว่า ปี 2568 นี้จะมีบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง 90–100 บริษัท ระดมทุนรวมกว่า 220,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 28,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 924,000 ล้านบาทดูเขาแล้วย้อนกลับมาดู ตลาดเงินตลาดทุนไทยแลนด์ ที่เป็นอยู่ในวันนี้เราจะเป็นศูนย์กลางการเงินโลก (Financial Hub) ตอนกี่โมง???“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม