ชายแดนไทย-กัมพูชายังอึมครึม โดยไทยยังยึดหลักเปิดด่านข้ามแดน ตามหลักมนุษยธรรม ล่าสุดเปิดด่านพรมแดนคลองลึกเป็นกรณีพิเศษแต่เช้า เร่งส่งตัวนายพลเขมรป่วยฉุกเฉิน มารักษาตัวที่ รพ.เอกชนในไทย ขณะที่ กต.ชี้แจงสถานการณ์เพิ่มเติม จี้กัมพูชาตั้งใจจริงและจริงใจในการแก้ปัญหาชายแดน ด้วยการปฏิบัติตามพันธกรณี MOU43 ที่ต้องเจรจาในกรอบทวิภาคี โดยไม่ต้องพึ่งกลไกภายนอก ด้าน “เท้ง-โรม” ลุยอรัญประเทศ หาข้อมูลทำข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ รวมถึงการค้ามนุษย์ หลังพบที่กัมพูชามีความรุนแรงมาก แต่ความคืบหน้ายังไม่น่าพึงพอใจความเคลื่อนไหวที่ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายไทยยังเข้มงวดการเปิด-ปิดประตูด่านพรมแดนและตรวจเข้มงวดในการสกัดคนไทยไปเล่นพนันในบ่อนฝั่งกัมพูชา และป้องกันสิ่งผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ผู้สื่อข่าวรายงานตลอดวันที่ 6 ก.ค. ทุกด่านยังเงียบเหงา แต่เมื่อเวลา 07.35 น. ที่ จ.สระแก้ว พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผบ.ฉก.อรัญประเทศ กองกำลังบูรพา (กกล.บูรพา) สั่งการให้ พ.อ.เมธี คำเต็ม ผู้บังคับการชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 (ผบ.ชค.ทพ.12) และ ร.อ.อาคม มงคลนำ ผบ.ร้อย ทพ.1201 นำกำลังร้อย ทพ.1201 ร่วมกับ จนท.ด่านศุลกากรอรัญประเทศ และ ตม.สระแก้ว เปิดประตูด่านพรมแดนคลองลึกเป็นกรณีพิเศษเพื่อมนุษยธรรม บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญ ประเทศ หลังกองกำลังบูรพาได้รับการประสานจากสำนักงานประสานงานชายแดนกัมพูชา-ไทย (สน.ปกท.) ของกัมพูชา ขอความช่วยเหลือในการนำผู้ป่วยฉุกเฉินคือ พล.ท.เป็จ วรรณา รองเจ้ากรมกิจการชายแดน บก.ทหารสูงสุด กพช. และหัวหน้าสำนักงานประสานงานชายแดนกัมพูชา-ไทย ที่มาด้วย รถตู้โตโยต้า สีดำ ทะเบียนกัมพูชา ส่งมารักษาตัวที่ รพ.เกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนลอรัญประเทศ อย่างเร่งด่วน ซึ่งเมื่อรถตู้ผ่านด่านพรมแดนคลองลึกฯ เข้ามาแล้ว เจ้าหน้าที่ได้ปิดประตูด่านพรมแดนคลองลึกเหมือนเดิมกระทั่งเวลา 08.00 น. หลังจากฝ่ายไทยเปิดประตูด่านพรมแดน บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก บรรยากาศยังคงเงียบเหงา ส่วนบริเวณด่านพรมแดนปอยเปต ที่ต้องเปิดประตูด่านเวลา 09.00 น. แต่กัมพูชากลับไม่เปิดประตูด่านกลางสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา เหมือนฝั่งไทย เปิดเพียงประตูเล็กข้างสะพานฯให้ชาวกัมพูชาเดินกลับเข้าประเทศและคนไทยที่ทำงานอยู่ในปอยเปต เดินผ่านประตูเล็กกลับเข้าไทย โดยมีเจ้าหน้าที่ร้อย ทพ.1201 ร่วมกับ ตม.สระแก้ว ตรวจคัดกรองคนไทยที่เดินทางกลับเข้ามา ซึ่งมีราว 30 คนต่อมาในช่วงสาย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ในฐานะประธานคณะ กมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เดินทางมาดูการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและการบริหารกิจการชายแดนไทย-กัมพูชา หลายจุดในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยมีหน่วยงานความมั่นคง นายอำเภอ กรมการปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษและกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางลงพื้นที่ด้วย ซึ่งจุดแรกที่มาดูคือบริเวณด้านหลังห้างสรรพสินค้าอรัญประเทศ โดยมี พ.อ.เมธี คำเต็ม ผบ.ชค.ทพ.12 รายงานว่าจุดนี้เป็นช่องทางลักลอบข้ามไปฝั่งกัมพูชา เป้าหมายไปทำงานหรือเล่นการพนัน ปัจจุบันได้ซีลพื้นที่ตรงนี้แล้ว แต่ยังมีการลักลอบเข้าออกตลอดจับกุมได้ทุกวัน พื้นที่ตรงนี้อาจดูแลยาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ของเอกชน ส่วนสัญญาณอินเตอร์เน็ตนั้น หลังมีมาตรการคุมเข้มชายแดน มีการลดระดับการปล่อยสัญญาณ ทำให้การใช้สัญญาณโทรศัพท์ตามแนวชายแดน จะเปิดใช้เฉพาะฝั่งไทย ส่วนฝั่งกัมพูชาจะไม่ได้รับสัญญาณต่อมานายรังสิมันต์ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้ได้ตั้งอนุ กมธ.จัดทำรายงานในข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งระบบไปยังรัฐบาล เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ รวมถึงการค้ามนุษย์ที่มีความรุนแรงต้องยอมรับว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชามีความรุนแรงมาก ความคืบหน้ายังไม่น่าพึงพอใจเท่าไหร่ ต้องขอบคุณผู้บังคับการทหารพรานที่ 12 ที่ทำให้เราเข้าใจถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของกัมพูชา ยืนยันว่าจะมีการพูดคุยถึงกลุ่มทุนที่เป็นเบื้องหลังของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้นด้วย ตอนนี้ตนได้ชื่อเพิ่มมาอีก 1 ชื่อ เกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจในกัมพูชาส่วนที่จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ไทยเปิดประตูด่านตามปกติ แต่ฝั่งกัมพูชาเปิดประตูด่านโอรเสม็ด เวลา 10.00 น. เพื่อรับแรงงานชาวกัมพูชาราว 70 คน เดินทางกลับประเทศ พร้อมสิ่งของสัมภาระจำเป็น ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงอำนวยความสะดวกตามหลักมนุษยธรรมเช่นเดิม นอกจากนี้ มีรายงานว่าหลังจากสมเด็จฮุน เซน ประกาศแบนสินค้าไทย แต่ชาวกัมพูชารายหนึ่งระบุว่าชาวกัมพูชายังคงมีสินค้าไทยใช้เช่นเดิม เนื่องจากมีนายทุนที่รับซื้อสินค้าไทยต่อจากพ่อค้าแม่ค้าชาวลาว ฝั่งชายแดนกัมพูชาที่ติดกับประเทศลาว ก่อนจะนำมาขายต่อที่กัมพูชา แต่อาจมีราคาสูงขึ้น แต่ชาวกัมพูชาก็ยอมซื้อ เพราะทั้งประเทศใช้แต่สินค้าไทยแทบจะทุกอย่างในครัวเรือนสำหรับที่ปราสาทตาเมือนธม บ.หนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตั้งแต่ช่วงเช้า มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมามอบสิ่งของให้กำลังใจทหารและเที่ยวชมปราสาทจำนวนมาก หลังจาก พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ประกาศเชิญชวนคนไทยเข้ามาเที่ยวชมปราสาททั้ง 3 แห่งของ จ.สุรินทร์ คือปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ทำให้การ จราจรติดขัดยาวเหยียดร่วมกิโลเมตร จากปราสาทตาเมือนธมไปจนถึงปราสาทตาเมือนโต๊ด ส่งผลให้ พ่อค้าแม่ค้าขายของได้ดีไปตามๆกัน เช่นเดียวกับที่ ปราสาทตาควาย บ.ไทยนิยมพัฒนา ต.บักได อ.พนม ดงรัก แม้ในช่วงบ่ายมีฝนโปรยปรายลงมาบ้าง แต่ยังมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและกัมพูชาหลั่งไหลมาชมความงดงามของตัวปราสาทอย่างคึกคักไม่ขาดสาย นอกจากนี้ มีพระเขมรนำของเซ่นไหว้ขึ้นมาทำพิธีที่ตัวปราสาทเช่นกันขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกคำชี้แจงข้อมูล ข้อคิดเห็นและท่าทีเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีสาระสำคัญว่ารัฐบาลไทยยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติวิธี ตามที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อกันตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) พ.ศ.2543 (ค.ศ.2000) มาโดยตลอด ซึ่งได้ระบุไว้ชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องเจรจาหารือกันในกรอบทวิภาคี โดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน (JBC) ไม่ได้มีส่วนใดที่ระบุว่าให้ใช้กลไกอื่น รวมทั้งศาลโลก (ICJ) ซึ่งประเทศไทยได้ยึดมั่นในพันธกรณีของความตกลงไทย-กัมพูชา ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิดพันธกรณีที่มีไว้ต่อกัน ซึ่งในการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ไทยได้ใช้แนวทางการเจรจาทวิภาคีโดยกลไก JBC หรือกลไกที่เทียบเคียงได้กับ JBC เช่นเดียวกัน ซึ่งล้วนแต่มีความคืบหน้าเป็นที่น่าพึงพอใจ หากมีความตั้งใจจริงและจริงใจในการดำเนินการ โดยไม่ต้องพึ่งกลไกภายนอกเช่น ICJรัฐบาลไทยจึงเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามพันธกรณีที่ให้ไว้ อันเป็นการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญาอันเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอย่างเคร่งครัด ด้วยการเคารพและปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ กล่าวคือ การเจรจาทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดตลอดแนวโดยใช้กลไก JBC ซึ่งรวมถึงพื้นที่ขัดแย้ง 4 จุด ที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยินยอมนำเข้าหารือการเจรจาในกรอบดังกล่าวด้วย อันถือได้ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงตามบันทึกความเข้าใจปี ค.ศ.2000 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าต้องทำการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดน (demarcation) ทั้งหมดร่วมกันภายใต้กลไก JBC โดยไม่เอาเรื่องปัญหาเขตแดนไปสู่กลไกอื่นที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ โดยไทยเฝ้ารอกัมพูชาซึ่งมีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC มานานกว่า 12 ปี และได้เรียกร้องให้มีการประชุมอยู่เสมอ ก่อนที่ JBC ครั้งล่าสุดมีขึ้น เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา ประเทศไทยจึงขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้องว่าไทยเป็นฝ่ายที่ทำให้กระบวนการ JBC ต้องหยุดชะงัก เพราะไทยไม่เคยถอนตัวจากกระบวนการดังกล่าว แต่เรียกร้องมาโดยตลอด ดังนั้น ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพในพันธกรณีที่มีระหว่างกัน ที่จะเจรจาหารือกันโดยสันติวิธี ก่อนจะพึ่งพากลไกอื่น ซึ่งอยู่นอกเหนือไปจากวิธีการที่ได้ตกลงกัน เพื่อยุติปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดแนวตลอดไป และป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำซากในอนาคต กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนทั้งสองฝั่งวันเดียวกัน “นิด้าโพล” เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “ฮุน เซน” จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-2 ก.ค.2568 โดยความรู้สึกต่อการเคลื่อนไหวของสมเด็จฮุนเซน กรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ร้อยละ 67.63 ระบุว่า สมเด็จฮุน เซนทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ร้อยละ 57.25 ระบุว่า สมเด็จฮุน เซนเป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ ร้อยละ 44.66 ระบุว่าคำพูดของสมเด็จฮุน เซนไม่มีความน่าเชื่อถือ ร้อยละ 40.53 สมเด็จฮุน เซนกำลังยุให้คนไทยแตกแยกกัน ร้อยละ 25.34 สมเด็จฮุน เซนต้องการยึดครองดินแดนของไทย ร้อยละ 18.85 สมเด็จฮุน เซนกำลังแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย ส่วนกรณีที่สมเด็จฮุน เซนทำนายว่าประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีภายใน 3 เดือน และรู้ด้วยว่าใครจะเป็นนายกฯนั้น ร้อยละ 43.05 ระบุว่าไม่น่าเชื่อ ร้อยละ 34.12 ระบุว่าทำนายมั่วๆ ร้อยละ 33.97 ระบุว่า เป็นความพยายามยุให้คนไทยตีกัน ร้อยละ 30.31ขณะที่ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนภายใต้คำถาม “วัฒนธรรมจะนำทางสันติภาพได้จริงหรือไม่?” จากประชาชน 1,098 คน ทุกภาคส่วนของประเทศที่ร่วมสะท้อนมุมมองต่อปัญหาชายแดน ทั้งภาคใต้และชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างวันที่ 1-5 ก.ค.2568 โดยความคิดเห็นของประชาชนต่อความไม่มั่นคงชายแดนไทย ร้อยละ 84.7 มองว่าปัญหาเกิดจากความขัดแย้งจากกลุ่มผลประโยชน์ ร้อยละ 81.9 มองว่านักการเมืองสนใจผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าสวัสดิภาพ ความปลอดภัยและวัฒนธรรมร่วมของคนท้องถิ่น ร้อยละ 78.5 มองว่า ความไม่เข้าใจกันระหว่างรัฐและระหว่างประชาชน ร้อยละ 77.3 มองว่าคนมีอำนาจมองข้ามประโยชน์ของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกันในพื้นที่ และร้อยละ 68.2 มองว่าสาเหตุขัดแย้งคือการสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง อคติทางสังคมที่มีต่อกันส่วนความเชื่อมั่นต่อการใช้วัฒนธรรมแก้ปัญหาชายแดนไทยพบว่า เชื่อมั่นการใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นช่วยลดความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนได้มากถึงมากที่สุด ร้อยละ 48.3 เชื่อมั่นปานกลาง ร้อยละ 37.2 และเชื่อมั่นน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 14.5 ส่วนการใช้วัฒนธรรมแก้ไขปัญหาในมิติเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองชายแดน พบว่าส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 80.2 ระบุ สร้างเมืองวัฒนธรรมร่วมและเขตเศรษฐกิจพิเศษวัฒนธรรมท้องถิ่นกระตุ้นท่องเที่ยวและการค้าชายแดน ร้อยละ 77.3 ระบุ ใช้สื่อสารวัฒนธรรม เช่น วิถีชีวิต ละครพื้นบ้าน เพลงท้องถิ่น สารคดีวัฒนธรรมร่วม สร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ลดอคติทางสังคม ร้อยละ 69.2 ระบุสร้างชุมชนตัวตนวัฒนธรรมเข้มแข็งต่อต้านยาเสพติดและอาชญากรรม ร้อยละ 68.9 ระบุ เสริมบทบาทผู้นำชุมชนวัฒนธรรม ทูตวัฒนธรรม สร้างความวางใจต่อรัฐและความสัมพันธ์ของประชาชนในสังคมข้ามพรมแดน และร้อยละ 55.2 จัดเวทีสาธารณะวัฒนธรรม พูดคุยการเมือง การดูแลประชาชนเชิงสร้างสรรค์ตามลำดับอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่