ไม่ว่า “ลาออก” หรือ “ยุบสภา” ล้วนเป็นหนทางที่ “เพื่อไทย” ต้องปิดประตูตาย เพราะไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก 2 ทางนี้คือ“มุมดับ” ที่จะทำให้พรรคไม่มีทางฟื้นตัวได้เพราะหากลาออกแม้จะยังมีแคนดิเดตเหลืออีก 1 คน แต่การเมืองแบบนี้ไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่ เนื่องจากสู้คนอื่นไม่ได้หรือ “ยุบสภา” ก็ไม่ต่างกัน เพราะคะแนนนิยมของพรรคตกต่ำสุดขีด เพราะที่ผ่านมาก็แย่อยู่แล้ว มาเจอเรื่องกัมพูชาเข้าไปอีกโอกาสจะได้ถึง 100 คน ไม่มีทาง!ดังนั้นที่มีข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคจะยื่นเงื่อนไขให้ “แพทองธาร ชินวัตร” ลาออกจากตำแหน่ง แล้วจะสนับสนุนแคนดิเดตอีกคน ถ้าไม่ยอมก็จะถอนตัวออกจากรัฐบาลมันเป็นข้อเสนอที่หน่อมแน้มดี เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วจึงไม่แปลกที่ “เพื่อไทย” จะพยายามดึงพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญๆอย่างชาติไทยพัฒนา รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ให้อยู่ร่วมรัฐบาลต่อไปแม้จะต้องอยู่กับ “ของเน่า” ต่อไปต่างก็ยอมเพราะมีตำแหน่งรัฐมนตรีแลกเปลี่ยน ซึ่งสามารถสร้างแรงจูงใจที่ดีที่สุดในความเป็นพรรคการเมืองที่ต้องการเป็นรัฐบาลมีเก้าอี้รัฐมนตรีมากขึ้น!ก็ไม่ต้องแปลกใจทำไมจึงมั่นใจเช่นนั้น เพราะเสียงสนับสนุนนั้น เพียงพออยู่แล้ว อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือต่างก็ไม่คิดที่จะแข่งกับ “เพื่อไทย” อยู่แล้วเพียงแต่ขอให้ได้ สส.เข้ามาจำนวนหนึ่งเพื่อให้พรรคมีลมหายใจต่อไปแค่นั้นก็พอแล้ว และหาก “เพื่อไทย” ได้เป็นแกนนำรัฐบาลครั้งต่อไปโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันต่อไปก็มีความเป็นไปได้สูงเพราะ “เพื่อไทย” คงไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้จากนี้ไป “เพื่อไทย” ก็ต้องเร่งจัด ครม.ให้แล้วเสร็จเร็วที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างคืนสภาพ สร้างความมั่นคงให้รัฐบาลหากล่าช้าออกไปอาจจะมีตัวแปรอื่นเกิดขึ้น ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้วันนี้แม้จะตั้งลำได้ แต่ก็ยังมีแรงกดดันภายนอกอยู่หลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นคำร้องต่างๆที่ยื่นให้องค์กรอิสระชุดใหญ่ๆที่เป็น “นิติสงคราม” แม้จะต้องใช้เวลาแต่ก็เป็นแรงกดดันที่มองข้ามไม่ได้!นอกจากนั้นยังมี “ม็อบ” ที่วันนี้หลายกลุ่มการเมืองได้รวมกัน เป็นหนึ่งเดียวชื่อว่า “พลังแผ่นดิน” ที่รวบรวมสุดยอดวิชาปราบรัฐบาลมากันพร้อมหน้าพร้อมตา28 มิ.ย.2568 คือวันดีเดย์ เริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิประเด็นก็คือขับไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่งการรวบรวมบรรดาเกจิจากผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนในทางการเมืองโดยที่มีประเด็นเรื่องการ “ขายชาติ” มาเป็นแรงขับเคลื่อนนั้นถือว่ามีน้ำหนักในท่ามกลางบรรยากาศที่สังคมไม่พอใจรัฐบาลอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่ล่อแหลมต่อความเป็นไปของรัฐบาลอย่าคิดว่าเป็นพวก “ขาประจำ” เป็นอันขาดในเงื่อนไขและสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนไปอย่างนี้สามารถจุดไฟให้ลุกโชนได้ไม่ยากนัก แม้นายกรัฐมนตรีจะพยายามดึงทหารมาเป็นพวกและย้ำถึงความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันแต่ความรู้สึกไม่พอใจและไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีนี่แหละคือตัวแปรสำคัญ!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม