ความจริงคนดูเบื่อมานานแล้วว่าเมื่ออยู่กันไม่ได้ก็ควรต่างคนต่างไป แต่มาเล่นบทตบจูบกันจนรู้สึกเอียน เพราะประเทศไม่ได้ประโยชน์อะไรงานก็ไม่ได้มีแต่เล่นลิเกต้มคนดูมานานแล้วล่าสุด “อนุทิน ชาญวีรกูล” รัฐมนตรีมหาดไทยและหัวหน้า “ภูมิใจไทย” ก็เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ส่ง “นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาเจรจาว่า “เพื่อไทย” ต้องการคุมกระทรวงมหาดไทยแลกกับกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นแบบ 2 ต่อ 1ให้เวลาตัดสินใจ 48 ชั่วโมงปรากฏว่า “อนุทิน” ได้ตอบกลับไปว่านี่ไม่ใช่เรื่องต่อรอง เพราะเรื่องงานของประเทศชาติ อีกทั้งไม่เป็นไปตามข้อตกลงเดิมจึงขอทำงานต่อไป“เมื่อไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงก็ต้องแยกทางกันทางใครทางมัน”“ภูมิใจไทย” ขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านตอบได้เลยไม่ต้องรอเวลาขีดเส้นตายเป็น “จบแล้วครับ...นาย”!ว่ากันว่าหลังจากการเจรจาผลออกมาอย่างนี้ “หมอมิ้ง” ก็ได้โทร.หา “นายใหญ่” ทันทีเพื่อรายงานผลให้ทราบก็เป็นแบบที่ “เสี่ยหนู” ได้ตั้งคำถามว่าใครต้องการแน่ตำแหน่งนี้เมื่อผลออกมาอย่างนี้ก็คงจะมีการดำเนินการเพื่อปรับ ครม.หลังจากเงื้อง่ามานานพอสมควรก็ต้องลุ้นกันว่าใครจะหลุดใครจะเข้ามาแทนที่และใครจะย้ายไปไหนแต่ที่แน่ๆเสียงสนับสนุนรัฐบาลหายไปทันที 69 เสียงทำให้เสียงสนับสนุนน้อยลงไปและมีผลต่อเสถียรภาพพอสมควร เว้นแต่จะไปดึงพวก “งูเห่า” ที่ฝากฝ่ายค้านเอาไว้ปัญหาก็คือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆจะอยู่ต่อ หรือตาม “ภูมิใจไทย” ไปเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ต้องดูกันต่อไปแต่เมื่อ “เพื่อไทย” กล้าถึงขนาดนั้นก็คงมั่นใจได้ว่าสามารถดึงไม่ให้พรรคไหนออกไป แม้กระทั่งพรรครวมไทยสร้างชาติหากไม่แตะก็อยู่กันต่อไปได้“ประชาธิปัตย์” ที่มีกองเชียร์ให้ถอนตัวออกมาในจังหวะที่ดี แต่เมื่อ 21 เสียงในพรรคมีพลังเหนือกว่าก็คงจะอยู่กันต่อไปสำคัญว่าเสียงสนับสนุนรัฐบาลนั้นจะต้องควบคุมให้มั่นคงเพราะสุ่มเสี่ยงไม่น้อย แต่การเมืองนั้นการเป็นรัฐบาลมีตำแหน่งล่อใจและรางวัลอื่นๆอีกเพียบคงไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้านแน่!เพราะ “ภูมิใจไทย” แยกไปเป็นฝ่ายค้าน ทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่างอีกหลายตำแหน่งก็นำมาจัดสรรเพิ่มให้ได้เพียงแต่จะอยู่ได้นานแค่ไหนเท่านั้น!จากนี้ “นายใหญ่” คงจะแฮปปี้มากขึ้น เพราะสามารถขจัดพรรค “จอมขวาง” ออกไปได้แล้ว จึงไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้วพรรคอื่นๆนั้นไม่ค่อยมีฤทธิ์เดชเท่าใดนัก เนื่องจากส่วนหนึ่งอยู่ในกำมือแล้วอีกส่วนหนึ่งมีเสียงไม่มากนักและเกิดปัญหาขัดแย้งกันภายในอะไรที่อยากทำคงได้ทำสมใจหวังว่าจะอยู่ได้ยาวจนกว่าถึงเวลา “ยุบสภา”แต่ที่ยังเป็นหนามยอกอกคือคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ แต่ก็ยังมีเวลาอีกนานพอสมควรกว่าจะมีข้อสรุปที่คืบหน้าแต่ที่แน่ๆคือ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่สามารถแสดงความเป็นผู้นำที่กล้าหาญ ทุกอย่างยังต้องพึ่ง “พ่อ”ขนาดจะคุยกับ “อนุทิน” ยังไม่กล้า ต้องให้คนอื่นมาพูดแทน!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม