ความตึงเครียดตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา “บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี” ดูเหมือนจะผ่อนคลายดีขึ้นหลังทหารกัมพูชายอมถอนกำลังบางส่วนออกพื้นที่พิพาทกลับสู่แนวการปฏิบัติเดิมในปี 2567แต่ความเคลื่อนไหวนอกสนามแนวชายแดนกลับเข้มข้นกว่าเดิม “เมื่อกัมพูชาเร่งเครื่องปลุกกระแสรักชาติ” สร้างภาพไทยเป็นฝ่ายรุกรานทั้งผ่านโซเชียลมีเดีย และเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความพยายามเร่งรัดนำข้อพิพาทเข้าสู่ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก” ข้ามขั้นตอนความร่วมมือระดับทวิภาคีล่าสุดประกาศ “จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจระดับสูง” เตรียมเอกสารหลักฐานยื่นฟ้องต่อศาลโลกประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต และปราสาทโบราณ 3 แห่ง คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ท่ามกลางเกมกดดันเชิงสัญลักษณ์ และยุทธศาสตร์หลายมิตินี้ประเทศไทยจึงไม่อาจนิ่งเฉย “ประเมินสถานการณ์ที่ต่ำเกินไปได้อีก” คงถึงเวลาเดินเกมอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อรักษาอธิปไตยและภาพลักษณ์ชาติในสายตาโลก โดย รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ บอกว่าแม้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะคลี่คลายลงได้ แต่ก็ในระยะสั้น มีแนวโน้มเกิดซ้ำในอนาคต เพราะกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์กดดันไทยหลายมิติ ทำให้ต้องเตรียมพร้อมเชิงยุทธศาสตร์การตอบโต้ในทุกมิติเช่นกันสำหรับแนวทางรับมือข้อพิพาทเขตแดนกับกัมพูชา “ไม่ควรจำกัดแค่มิติทางทหาร” เพราะกัมพูชาเดินเกมยกเรื่องขึ้นเวทีโลก อ้างกฎหมายสากล ใช้มิติวัฒนธรรม และการสื่อสารระหว่างประเทศ ดังนั้นไทยต้องจัดตั้งวอร์รูมมีทีมเฉพาะด้านกฎหมาย จิตวิทยา วัฒนธรรม เพื่อวางแผนประสานงานรับมือกับกัมพูชาอย่างเป็นระบบทุกมิติสิ่งสำคัญการตอบโต้แต่ละประเด็น “ต้องทำเรกคอร์ดเก็บข้อมูลหลักฐานอย่างเป็นระบบ” เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงส่งต่อให้หน่วยงานต่างประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างกรณี MOU2543 หรือหลักฐานของไทยที่แสดงความอดทนอดกลั้นในการต่อต้านการบุกรุกดินแดนจากฝั่งกัมพูชาส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปมากกว่า 400 ครั้งเรื่องนี้ชี้ว่า “ไทยได้แสดงความอดทนมาก” แต่กัมพูชาไม่ยุติยั่วยุทางทหารเคลื่อนย้ายสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ MOU43 ที่ห้ามไว้อย่างชัดเจนทั้งตั้งฐานที่มั่น เสริมกำลังในพื้นที่ที่ควรเป็นเขตสันติภาพ เรื่องนี้ไทยก็มีข้อมูล หลักฐาน ภาพถ่าย เอกสารพร้อมตอบโต้ยืนยันว่า “ไทยยึดมั่นสันติวิธี” ที่ควรส่งข้อมูลข้อเท็จจริงให้นานาชาติรับรู้บ้างแล้วไม่ใช่ปล่อยกัมพูชาเสนอข้อมูลฝ่ายเดียวมักอ้างว่า “เป็นประเทศเล็กถูกรังแก” ซึ่งไม่สอดรับหลักฐาน หลายกรณีชี้ว่าไทยแม้มีขนาดใหญ่กว่ากลับถูกกัมพูชายั่วยุทางทหาร กดดัน และสร้างภาพให้เป็นฝ่ายรุกราน เช่นนี้ย้ำว่า “ไทยต้องมีปฏิบัติการเชิงรุกตอบโต้ด้วย” เพราะในวันนี้แนวรบกัมพูชาดำเนินอยู่ในหลายมิติทั้งมรดกทางวัฒนธรรม เขตแดนความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ รวมถึงยุทธศาสตร์ภูมิภาค และเส้นทางโลจิสติกส์อย่างการขุดคลองกูนันเตโชอาจกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ดักเส้นทางโลจิสติกส์ก่อนเข้าสู่ EEC ของไทยอันจะกระทบต่อความได้เปรียบทางเศรษฐกิจในอนาคต “ต้องพิจารณาทุกมิติ” แม้ว่าไทยยึดหลักสงบสันติไม่รุกรานใครเมื่อเผชิญการยั่วยุก็ต้องเตรียมพร้อมตอบโต้หลายมิติเพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ชาติ“โจทย์สำคัญคือกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์กดดันไทยและยั่วยุท้าทายในหลายมิติตามจังหวะและโอกาสที่สามารถทำได้ ดังนั้นการต่อสู้ระยะยาวฝ่ายไทยไม่ควรตั้งรับเพียงฝ่ายเดียวแต่ต้องมียุทธศาสตร์ตอบโต้ที่เหมาะสมด้วยการเปิดเกมรุกในบางจังหวะให้กัมพูชาต้องอยู่ในสถานะที่ต้องชี้แจง หรือแก้ต่างบ้างเช่นกัน” รศ.ดร.ดุลยภาคว่าจริงๆแล้ว “การตอบโต้เป็นหน้าที่ของไทย” เพื่อรักษาความยุติธรรม และภาพลักษณ์ประเทศหากไม่ดำเนินการประชาคมโลกอาจเข้าใจผิดว่า “ไทยยอมรับข้อกล่าวหา” จึงต้องยกระดับบทบาททางการทูตเชิงรุกคืบอีกประเด็นคือ “สมเด็จฮุน เซน เคยได้รับรางวัลสันติภาพ” มีความสามารถด้านปรองดอง เป็นผู้แสดงความอดทนอดกลั้นในเวทีระหว่างประเทศ แต่เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชากลับมีแนวทางปฏิบัติไม่ได้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ดังกล่าว เพราะพยายามเดินเกมกดดันไทยเป็นระยะ ขัดภาพลักษณ์นักสร้างสันติภาพหากรัฐบาลไทยมีเจตจำนงใช้สันติวิธีแก้ไขปัญหาก็ควรเปิดใจพูดคุยกับ “สมเด็จฮุน เซน” อย่างเช่นกรณีปราสาทเขาพระวิหาร หากกัมพูชามีเจตจำนงแห่งสันติภาพแท้จริงควรร่วมมือพัฒนาเชิงพหุภาคี เพื่อเป็นแนวทางสร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ แต่ที่ผ่านมาสมเด็จฮุน เซน มักแสดงท่าทีไม่ยอมรับแนวทางนี้แต่เน้นอ้างสิทธิครอบครองฝ่ายเดียว แม้เทือกเขาพนมดงรักเป็นพรมแดนทางวัฒนธรรม และภูมิศาสตร์เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งระหว่าง 2 ประเทศก็ตาม ดังนั้นหากสมเด็จฮุน เซน ยินดีร่วมพัฒนาพื้นที่เป็นเรื่องน่ายินดี แต่หากยึดแนวทางฝ่ายเดียว รางวัลด้านสันติภาพที่ได้รับก็ควรถูกตั้งคำถามยังมีคุณค่าควรที่จะครอบครองอยู่หรือไม่แนวทางนี้เป็นการกดดันส่งสัญญาณถึงองค์กรเคยมอบรางวัลให้ “สมเด็จฮุน เซน” เพื่อสะท้อนการยั่วยุไทยข้ามขั้นตอนเหมาะสมหรือไม่ หากไทยเดินหน้าแนวทางสันติภาพสันติวิธีก็ควรตอบโต้ถ่วงดุลควบคู่กันไปได้ถัดมาแนวทางตอบโต้ของรัฐบาลในตอนนี้ “ไม่สายเกินไป” เพราะเป็นการย้ำความสำคัญของกลไกแก้ปัญหาแบบทวิภาคี เช่น JBC, GBC และ RBC ที่ช่วยควบคุมสถานการณ์ และดึงกัมพูชาเข้าสู่การเจรจาโดยสันติ เพราะตามหลักสากล “การแก้ไขข้อพิพาทควรเริ่มจากขั้นเบาไปหาหนักก่อน” อย่างเช่นการเจรจาทวิภาคีแต่กรณีนี้ “กัมพูชายังไม่หารือกับไทยกลับเร่งนำเรื่องขึ้นศาลโลก” ดังนั้นไทยควรตอบโต้ประท้วงอย่างเป็นทางการผ่านสถานทูต และกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา หากเห็นว่ากัมพูชาทำเกินกว่าเหตุหรือข้ามขั้นตอนก็ควรยกประเด็นนี้ต่อประเทศสมาชิกอาเซียน และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องร่วมด้วยเพื่อให้รู้สถานการณ์ “ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปขึ้นศาลโลก” แต่เป็นการยืนยันเจตนารักสันติที่กำลังถูกกัมพูชามักอ้างว่า “เป็นประเทศเล็ก” กลับฉวยโอกาสยั่วยุ และข่มขู่จะยิงเครื่องบินรบคุกคามทหารไทย มีหลักฐานในโพสต์สมเด็จฮุน เซน จึงควรเก็บเป็นหลักฐานตอบโต้กัมพูชาที่อาจไม่ได้จริงใจกับการรักษาสันติภาพหรือไม่ฉะนั้น ทางออกสถานการณ์นี้คือ “ยึดหลักอยู่ร่วมกันโดยสันติ” ใช้กลไกที่มีอยู่ร่วมกันอย่างเต็มที่ เคารพข้อตกลงที่เคยทำไว้ในการสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ “ไม่ใช่สร้างความขัดแย้ง” เพราะท้ายที่สุดไทยและกัมพูชาคือเพื่อนบ้านที่ไม่อาจแยกดินแดนออกจากกันได้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม