วันแรกการประชุมเจบีซีถกไม่จบ ต้องประชุม ต่ออีกวัน แม้สองฝ่ายย้ำชัดจะทำงานร่วมกันด้วย สันติวิธี ภายใต้เอ็มโอยู 43 แต่ไทยยืนยันหนักแน่นไม่รับอำนาจศาลโลก แม้ผู้นำกัมพูชา “ฮุน เซน-ฮุน มาเนต” เล็งยื่นเรื่อง 4 พื้นที่ขัดแย้งถึง ศาลโลกแน่ ขณะที่ “แม่ทัพภาค 2” กร้าว ซัดกลับเขมร ถ้าอยากได้แผ่นดินไทยนักก็ต้องดวลกัน ขณะเดียวกัน กองทัพเตรียมปรับการวางกำลังใหม่ หลังพบทหารเขมรเสริมอาวุธหนักหันปากกระบอกปืนมาทางไทย ในพื้นที่ชายแดน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษความคืบหน้าสถานการณ์การพิพาทเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่ไทยตอบโต้ทหารกัมพูชากรณีรุกล้ำอธิปไตยที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ด้วยการปิดด่านในพื้นที่ 7 จังหวัดที่มีพรมแดนติดกัน โดยคาดว่าทุกอย่างจะจบลงได้ด้วยการเจรจาบนโต๊ะประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (เจบีซี) ที่จัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้เวทีเจรจาเจบีซีเริ่มช้า 2 ชม.เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 14 มิ.ย. ที่โรงแรมโซฟิเทล พนมเปญ โภคีธรา ประเทศกัมพูชา มีพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (เจบีซี) ครั้งที่ 6 เพื่อเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยการประชุมเริ่มช้ากว่ากำหนดเดิม 2 ชั่วโมง เนื่องจากก่อนเริ่มประชุม นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ในฐานะประธานกรรมาธิการเจบีซี ฝ่ายไทย ได้หารือการเจรจากลุ่มเล็กร่วมกับนายลำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดน และหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งกัมพูชา ประธานร่วมกัมพูชา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนที่จะเข้าสู่การประชุมเจบีซีที่ใช้เป็นกลไกทวิภาคีหลักเจรจาประเด็นทางเทคนิคและข้อกฎหมายในการแก้ปัญหาด้านเขตแดนระหว่างสองประเทศ เพื่อให้เกิดการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างกัน2 ฝ่ายหนุนกรอบทำงานสันติวิธีจากนั้นในการประชุมเจบีซี นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ในฐานะประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย เป็นประธานการประชุมเจบีซี ครั้งที่ 6 ร่วมกับนายลำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา ได้กล่าวถ้อยแถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกเจบีซีเจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกัน และการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 (เอ็มโอยู 43) เพื่อประโยชน์ในการแก้ปัญหาชายแดนและลดความตึงเครียดที่มีอยู่ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการของทั้ง 2 ฝ่ายประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กรมแผนที่ทหาร กองทัพบก กองทัพเรือ สำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา กระทรวงกลาโหมกัมพูชา กองทัพภาคต่างๆของกัมพูชา รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ทุกจังหวัด“ฮุน เซน” เชื่อเจรจาร้อยปีก็ไม่จบด้านสำนักข่าวแขมร์ ไทม์ส รายงานว่าก่อนหน้าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) วันที่ 14 มิ.ย. สมเด็จฮุน เซน ประธานองคมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ว่า มีความเชื่อมาตลอดว่าสักวันหนึ่งประเทศไทยจะมีพฤติกรรมเหมือนกับปี 2551 และปี 2554 มาวันนี้เราได้เห็นแล้วถึงพฤติกรรมคุกคามและไม่ใส่ใจต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ขอให้นานาประเทศที่เคารพกฎหมายกระตุ้นไทยให้ไปคลี่คลายความขัดแย้งพรมแดนในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพราะ 4 ประเด็นช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย เหล่านี้ ใช้กระบวนการเจรจาสองฝ่ายไปอีก 100 ปีก็ไม่มีวันจบ“ฮุน มาเนต” อยากจบที่ศาลโลกเช่นเดียวกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่กล่าวก่อนการประชุมเจบีซีครั้งแรกในรอบ 12 ปีว่า ในการประชุมเจบีซีครั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาจะไม่หยิบยก 2 ประเด็นหลักมาหารือนั่นคือเรื่อง 4 พื้นที่ขัดแย้งทางพรมแดน และเรื่องการปิดด่านข้ามแดนไทย-กัมพูชา ในเรื่องแรกกัมพูชามีจุดยืนว่าจะนำประเด็นไปยื่นต่อศาลโลก (ไอซีเจ) กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ตามกำหนดการเดิมวันที่ 15 มิ.ย. โดยไม่สนใจว่าไทยจะเมินเฉยหรือปฏิเสธ ส่วนเรื่องที่สองมีความเห็นว่าควรกลับไปเปิดด่านข้ามแดนตามเดิม แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องนี้ กองทัพไทยเป็นคนเริ่มในวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งคนเริ่มก็ต้องเป็นคนจบท้าเขมรฮุบแผ่นดินไทยต้องดวลกันวันเดียวกัน ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ร่วมบรรยายพิเศษแก่นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นปีที่ 5 หัวข้อ “คุณธรรม จริยธรรม องค์ความรู้ที่จำเป็นที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติราชการของ นนร.” ตอนหนึ่งถึงประเด็นข้อพิพาทไทย-กัมพูชา กรณี 3 ปราสาทและแนวชายแดนช่องบก จ.อุบลราชธานี ว่าจะไม่มีวันขึ้นศาลโลก การจะขึ้นศาลโลกต้องเห็นพ้องด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ศาลโลกจึงจะรับไว้พิจารณา ถ้าฝ่ายใดไม่ยอมรับศาลโลกก็ไม่รับพิจารณา รัฐบาลไทยจะใช้วิธีนี้ ไม่ต้องห่วงจะต้องขึ้นศาลโลก “บอกรัฐบาลไปแล้วว่าไม่ต้องขึ้นศาลโลก ไม่เกี่ยว แผ่นดินกูอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ถ้าจะเอาก็ดวลกันก็จบ ไม่เห็นยากอะไร”เขมรเสริมปืน ค. หันมาไทยขณะเดียวกัน ที่ปราสาทโดนตวล ตั้งอยู่ริมหน้าผาบนเทือกเขาพนมดงรัก ในพื้นที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แหล่งข่าวทางทหารระบุว่ามีกองกำลังผสมของกัมพูชา ประกอบด้วยทหารและตำรวจตระเวนชายแดนมีการสนธิกำลังกัน เพื่อเข้าพื้นที่ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทหารกัมพูชามีการเสริมปืน ค. ขนาดใหญ่ ตั้งบนเขาสูงหันกระบอกลำกล้องมาทางฝั่งประเทศไทย หลายจุด นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่ามีทหารราบของกัมพูชาสะพายปืนยาวประจำกายขับขี่รถจักรยานยนต์บริเวณถนนด้านล่างใกล้กับฐานทหาร บ้านสวายจรุม ต.แซม อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร อีกด้วย ทำให้เชื่อได้ว่าทหารกัมพูชามีการเตรียมความพร้อมเช่นเดียวกับทหารไทย ขณะที่บรรยากาศที่บ้านภูมิซรอลยังพบว่ามีทหารจากกองทัพภาคที่ 2 ขับรถอยู่ในชุมชนผ่านไปมาเต็มพื้นที่ทบ.ปรับกำลังตอบโต้เขมรต่อมาผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ถึงกรณีกัมพูชาหันปลายกระบอกปืนใหญ่เข้าฝั่งไทย บริเวณตรงข้ามปราสาทโดนตวล และสัตตะโสม บ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ สร้างความกังวลให้ประชาชนว่า ไทยพบการวางกำลังกัมพูชาหลายจุดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอาวุธยิงสนับสนุนที่มีระยะยิงถึงพื้นที่ในอธิปไตยไทย ถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง ฝ่ายไทยจึงปรับการวางกำลัง เตรียมกำลังให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์เช่นกันคน 2 ฝั่งร่วมลุ้นผล “เจบีซี”สำหรับตามจุดผ่านแดนที่บางด่านปิดทำการในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำให้บรรยากาศการค้าขายริมชายแดนซบเซา โดยที่ตลาดการค้าชายแดนช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ร้านค้าของชาวกัมพูชาปิดร้านกลับประเทศตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. กว่าร้อยละ 70 แต่ยังคงมีพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยและกัมพูชาบางส่วนที่เปิดร้านค้าขายกันตามปกติ ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ต่างจับกลุ่มนั่งวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนานา ถึงการประชุม JBC ที่มีขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ส่วนใหญ่อยากให้ผลประชุมออกมาในทิศทางที่ดี ไม่ต่างจากชาวกัมพูชาที่มาค้าขายในไทยที่ไม่อยากให้มีปัญหาขัดแย้งกัน เพราะถ้าเกิดสงครามชาวกัมพูชาและคนไทยที่อยู่ตามแนวชายแดนคือผู้ที่เดือดร้อน เพราะต้องทำมาหากินตลาดโรงเกลือแทบร้างส่วนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่าฝั่งไทยบรรยากาศเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด ประชาชนที่เดินทางจะข้ามแดนจากฝั่งไทยไปฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา มีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นแรงงานประจำหรือผู้มีธุระจำเป็น ขณะที่เจ้าหน้าที่ด่านฝั่งไทยยังคงเปิดด่านในเวลา 08.00 น.ตามปกติ ขณะที่ฝั่งกัมพูชามีประชาชนทยอยเดินทางมารวมตัวที่หน้าประตูด่านเพื่อรอข้ามมายังฝั่งไทย แต่น้อยกว่าทุกวัน โดยเฉพาะผู้ค้าที่เคยเดินทางมาค้าขายฝั่งไทยยังวิตกกังวลกับสถานการณ์ชายแดนที่ไม่แน่นอน ทำให้บรรยากาศในตลาดโรงเกลือเงียบเหงาอย่างชัดเจน ร้านค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปิดให้บริการ โดยเฉพาะร้านที่เช่าโดยชาวกัมพูชา บางรายไม่กล้าเปิดร้าน เพราะไม่มั่นใจในจำนวนลูกค้าที่จะเดินทางมาในวันนี้ทำให้ภาพรวมของตลาดเกือบร้างรถบรรทุกไทยตกค้างเพียบที่ด่านถาวรบ้านผักกาด ต.คลองใหญ่ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี สถานการณ์หน้าด่านฝั่งไทยถือปฏิบัติตามปกติคือเปิดด่านในเวลา 08.00 น. ส่วนกัมพูชาเปิด 09.00 น.เช่นเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคือด่านฝั่งกัมพูชาไม่เปิดประตูใหญ่ให้รถเข้าออก ซึ่งมีรถบรรทุกไทยที่ตกค้างกลับไม่ทันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จำนวน 32 พ่วง แต่กัมพูชาไม่ยอมให้ผ่าน ส่วนฝั่งไทยมีรถขนสินค้าตกค้างเช่นกัน จำนวน 2 คัน โดยฝั่งกัมพูชาแจ้งว่าวันนี้ไม่สามารถเปิดให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ตามคำสั่ง รมต.มหาดไทยของกัมพูชา อนุโลมเพียงกลุ่มพาสปอร์ตจากลาวและประเทศอื่นๆ เว้นนักท่องเที่ยวไทยที่ถือพาสปอร์ตท่องเที่ยว ต่อมาผู้แทนทางทหารไทยจากกองทัพเรือ โดยศูนย์ประสานงานชายแดนไทยกัมพูชาได้เข้าเจรจากับหน่วยงานที่ด่านกัมพูชา ขอให้เปิดด่านเฉพาะกิจปล่อยรถไทยที่ตกค้างจำนวน 32 พ่วง กลับไทย โดยแลกเปลี่ยนกับรถสินค้ากัมพูชา 2 คัน ที่ตกค้างฝั่งไทย ซึ่งการเจรจาค่อนข้างจะยุ่งยากเพราะอำนาจการตัดสินใจต้องประสานไปที่กรุงพนมเปญเท่านั้น จนได้ข้อสรุปทางกัมพูชายอมเปิดด่านให้รถบรรทุกไทย 32 พ่วงกลับไทย แต่มีข้อแม้ต้องให้รถกัมพูชากลับเข้าไปก่อน ไทยไม่มีปัญหา เปิดให้รถกัมพูชา 2 คัน ออกไปโดยแลกกับรถไทย 32 พ่วงที่ตกค้างกลับไทย หลังจากรถไทยพ้นประตูใหญ่ของกัมพูชาเจ้าหน้าที่ได้ปิดประตูใหญ่ทันที งดการผ่านเข้าออกของรถยนต์ทุกชนิดห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรไทยเช่นเดียวกับที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เกิดความวุ่นวายขึ้นที่บริเวณ ด่านจามเยี่ยม จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา หลังไม่ปล่อยให้รถบรรทุกสินค้าทางการเกษตร จำพวกผลไม้ เข้าไปยังฝั่งกัมพูชา โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ทำเอาบรรดาคนขับรถคอกที่บรรทุกผลไม้มาส่งงงกันเป็นแถว ถึงแม้จะถ่ายของใส่รถเข็นของชาวกัมพูชาเข็นกลับเข้าประเทศก็ไม่ให้ผ่านเช่นกัน รถหลายๆคันต้องถอยออกมาตั้งหลักที่หน้าด่านเพื่อดูสถานการณ์ ส่วนรถบรรทุกขนาดใหญ่ ยังคงเข้าออกได้ตามปกติ ทำให้มีรถบรรทุกขนาดเล็กติดค้างอีกจำนวนมาก ซึ่งด่านศุลกากรไทยได้รับแจ้งจากฝั่งกัมพูชาว่า ตั้งแต่เวลา 12.00 น.เป็นต้นไป ศุลกากรเกาะกง ประเทศกัมพูชา ห้ามนำผลไม้และสินค้าการเกษตรเข้าไปยังประเทศกัมพูชาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะทุเรียนห้ามนำเข้าโดยเด็ดขาด ซึ่งไม่ได้มีการแจ้งเหตุผลเพียงแต่แจ้งว่าฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาแจ้งมา จึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งวงเจบีซียื้อเจรจาต่อ 15 มิ.ย.ต่อมาเวลา 15.45 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ว่าช่วงเช้าเริ่มการประชุมด้วยการพบกันระหว่าง 2 ประธานไทย-กัมพูชากลุ่มเล็ก จากนั้นเริ่มการประชุมเจบีซีเต็มคณะ เพื่อหารือด้านเทคนิคที่อยู่ในขอบเขตการทำงานของเจบีซี เช่น การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสำรวจภูมิประเทศ ช่วงบ่ายจะหารือตามระเบียบวาระที่วางไว้ เช่น การพูดคุยด้านเทคนิค คาดว่าจะประชุมไปถึงวันที่ 15 มิ.ย. บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี หารือแลกเปลี่ยนกันอย่างตรงไปตรงมา ทั้ง 2 ฝ่ายเดินหน้าหารือกันตามวาระ ถือว่าการประชุมเป็นไปในทางที่ดี ทั้ง 2 ฝ่ายเดินหน้าคุยและปรับความคิดหากันด้วยดี ฝ่ายไทยหวังการประชุมครั้งนี้จะมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคตยันเสียงแข็งไม่รับอำนาจศาลโลกนายนิกรเดชกล่าวว่า ขอใช้โอกาสนี้ยืนยันอีกครั้งเรื่องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) ว่า ไทยไม่รับเขตอำนาจไอซีเจ ตามที่นายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันมาตลอด ไทยต้องการแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว รวมถึงการหารือทางการทูต เนื่องจากมั่นใจเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมที่สุด ส่วนกลไกหารือทางการทูตยังเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และธรรมเนียมปฏิบัติสากลในการแก้ปัญหาตามที่สหประชาชาติกำหนด โดยกลไกเจบีซี และกลไกอื่นๆ เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่ามีผลสำเร็จเป็นรูปธรรม อย่างการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน-สะตึงบท) กลไกเหล่านี้สะท้อนประสิทธิผลความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านปัดไม่รู้การยอมรับแผนที่ฝรั่งเศสผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวไลน์หลุดของประธานกรรมาธิการฝ่ายไทยเรื่องการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ของฝรั่งเศส มีข้อเท็จจริงอย่างไร นายนิกรเดชตอบว่า ไม่ทราบ ได้ยินข่าวลือมีไลน์หลุด แต่ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ เพราะติดตามการประชุมอยู่ ไม่ทราบรายละเอียดตรงนี้ฮือฮาแชตไลน์กลุ่ม กต.หลุดทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างวันโลกออนไลน์มีการนำภาพการแชตคุยกันในกลุ่มไลน์ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับจุดยืน ของนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานกรรมาธิการเจบีซี ฝ่ายไทย ที่มีต่อแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่เคยทำให้ไทยเสียเปรียบในการสู้คดีที่ศาลโลกมาแล้ว โดยในข้อความไลน์ของผู้ใช้ชื่อว่า P.Prasasvinitchai ระบุว่า หลังหารือเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว จะเล่าให้ฟังว่าทำไมฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องยอมรับแผนที่คณะกรรมการปักปันฯ มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ฯลฯ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างถึงเรื่องนี้ และต่อมานายประศาสน์ได้ แสดงความไม่พอใจที่มีการนำแชตดังกล่าวออกมาเผยแพร่ และส่งข้อความเข้าไปในไลน์กลุ่มเดิมว่า “อันนี้เป็นการคุยกับพวกเรา มีคนเอาไปออกข่าว งั้นไม่คุยแล้วกันนะครับ นึกว่าพวกเราไว้ใจได้”วันแรกเจบีซีราบรื่นแต่ไร้ข้อสรุปต่อมาสำนักข่าวแขมร์ ไทม์ส ของกัมพูชารายงานว่า การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC) ที่โรงแรมโซฟิเทล พนมเปญ โภคีตรา กรุงพนมเปญ ได้ปิดการประชุมวันแรก นายลำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งกัมพูชา ตกลงร่วมกับนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาฝ่ายไทย นัดประชุมหารือกันในวันที่ 15 มิ.ย. เวลา 09.00 น. พร้อมระบุการประชุมในวันที่ 14 มิ.ย.เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ไม่ให้รายละเอียดอื่นเพิ่มเติมนายกฯเกาะติดประชุมเจบีซีค่ำวันเดียวกัน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ติดตามความคืบหน้าการประชุมและรับรายงานความคืบหน้าประชุมเจบีซีวันแรก โดยกระทรวงการต่างประเทศรายงานบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี ทั้ง 2 ประเทศกำลังเดินหน้าหารือร่วมกัน ฝ่ายไทยเชื่อว่าการพูดคุยกันจะลดความตึงเครียดสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต นายกฯจะติดตามการประชุมอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 15 มิ.ย. จะรอรับรายงานผลการประชุมต่อไป พร้อมให้กำลังใจผู้แทนไทย และทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องให้ยึดหลักผลประโยชน์ประเทศเป็นสำคัญในการเจรจาอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่