เขย่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของไทยและกัมพูชา จากสถานการณ์ตึงเครียดตลอดแนวตะเข็บชายแดน ทั้งทางบก ทางน้ำ ที่ทอดยาวติดต่อกันประมาณ 1,000 กิโลเมตร หลังเพิ่งเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย–กัมพูชา เน้นความร่วมมือทุกมิติ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงกองทัพ 2 ประเทศเตรียมกำลังพล โชว์แสนยานุภาพ พร้อมเปิดศึกเต็มรูปแบบ เมื่อเทียบกองทัพไทยกับกองทัพกัมพูชา ทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ประเทศไทยถือแต้มเหนือกว่าทุกกระบวนท่า แต่ก็มีประเทศมหาอำนาจหนุนหลังกัมพูชา ยังดีที่ท่าทีรัฐบาลของ 2 ประเทศ ขีดเส้นตรงกัน คือประกาศสงครามเป็นมาตรการสุดท้ายขณะนี้มี 3 ทางเลือกแห่งชะตากรรม คือ เจรจาระดับทวิภาคี–ยกระดับสู่เวทีศาลโลก–สงคราม ตามมุมมองของศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์ทหาร ชี้ว่าสถานการณ์ตกอยู่ในทาง 3 แพร่ง ขณะนี้แนวโน้มเทมาที่สงคราม หากรัฐบาลจัดการอย่างไม่ชาญฉลาด อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้บนปรากฏการณ์กระแสชาตินิยม ดาบสองคมแห่งยุควิกฤติ แม้เป็นน้ำยาเร่งประสานสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายประเทศ รวมถึงไทยและกัมพูชา กระแสนี้มีผลทั้งด้านบวกและด้านลบ ขึ้นอยู่กับบริบทว่าใครใช้และวิธีที่ถูกนำมาใช้ เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยล่าสุดกองทัพบกเชิญชวนติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด ทำให้กระแสชาตินิยมของคนไทยพุ่งกระฉูดติดเพดาน สวนทางกับท่าทีของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หลังเกิดเหตุวิกฤติช่องบก นานกว่าสัปดาห์ เพิ่งเรียกประชุมด่วน สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อรับมือข้าศึกที่รุกล้ำอธิปไตยของไทยแม้ดับกระแสรัฐบาลมีปัญหากับกองทัพได้ โดยนายกรัฐมนตรีการันตีด้วยตัวเองหลังจากเป็นประธานประชุม สมช. โดยระบุว่า ได้เคลียร์ถึงอำนาจหน้าที่กองทัพ ที่เป็นฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่ชายแดนสามารถตัดสินใจได้ทันที จากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเกิดขัดแย้งหนักระหว่างรัฐบาลที่กำกับดูแลนโยบาย กับกองทัพที่เป็นฝ่ายปฏิบัติการเมืองในสมรภูมิรบครั้งนี้ ไม่ใช่ แค่วิกฤติชายแดน แต่เป็นจุดทดสอบความแข็งแกร่งของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน หากจัดการได้ดีอาจพลิกกลับมาเป็นโอกาสแห่งความน่าเชื่อถือในระบอบประชาธิปไตย หากล้มเหลวอาจเปิดทางให้กลุ่มอำนาจเก่าใช้กระแสชาตินิยมเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจแบบทางลัดอีกก็ได้.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม