เผยกัมพูชาเหิมหนักส่งทหารอีก 3,000 นาย รวมเป็น 12,000 คน กระจายเต็มพื้นที่ชายแดน “ช่องบก” ตั้งอาวุธเต็ม พื้นที่ หันปากกระบอกปืนมาฝั่งไทย ด้านนายกฯนั่งหัวโต๊ะ ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เคลียร์ข่าวลือรัฐบาลกับ ทหารมีปัญหากัน ยันยังมีเอกภาพและให้อำนาจทหารตัดสินใจหน้างาน “ภูมิธรรม” โอดโดนทัวร์ ลงหนัก หลังเดินทางด่วนไปพบรองนายกฯ และ รมว. กลาโหมกัมพูชา ที่ค่ายสุรสิงหนาท จ.สระแก้ว ยันไป พูดคุยเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายไม่รุนแรง เพราะรัฐบาลไม่อยากเห็นสงครามและความสูญเสีย พร้อมกล่อมเขมรถอยห่างศาลาตรีมุข ผบ.ทบ.สั่งการทุกหน่วย ยกระดับความพร้อม “บิ๊กป้อม” ออกโรงจี้รัฐบาลต้อง เด็ดขาดป้องอธิปไตย กลุ่ม คปท.เดือดไม่หยุดบุกชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชาปกป้องชาติไทย ไม่ให้ใคร ย่ำยี องค์การนักศึกษารามฯ ออกแถลงการณ์โต้เขมร รุกราน เผยแสนยานุภาพหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งกองทัพเรือที่เตรียมไว้ปกป้องอธิปไตยและน่านฟ้าไทยคนไทยที่หัวใจรักชาติยิ่งชีพ ยังจับตาดูท่าทีของรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไรกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ที่มีรายงานจากทหารไทยยืนยันว่าฝ่ายตรงข้ามได้รุกล้ำดินแดนเข้ามาถึง 200 เมตร โดยหลายฝ่ายเห็นว่าควรเร่งรีบดำเนินการผลักดันฝ่ายที่มารุกรานอธิปไตยไทยให้ออกไปจากพื้นที่โดยเร็วก่อนที่จะสายเกินไป ขณะที่รัฐบาลยังพยายามใช้ “สันติวิธี” คลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น มีรายงานว่ากัมพูชาได้ส่งทหารเพิ่มอีก 3 พันนาย เข้าตรึงพื้นที่บริเวณชายแดนช่องบกแล้วนายกฯนั่งหัวโต๊ะถกสภาความมั่นคงที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มิ.ย. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน สมช. เป็นประธานประชุม สมช. มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม และ หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาและพิจารณามาตรการตอบโต้กล่อมเขมรถอยห่างศาลาตรีมุขนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมถึงการหารือกับ พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกัมพูชา เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ว่า เป็นการพูดคุยเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง ให้สถานการณ์คลี่คลาย รัฐบาลไทยไม่อยากเห็นสงคราม ไม่ได้กังวลหากเกิดการสู้รบ แต่เราไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย ด้วยความสัมพันธ์ที่มีอยู่น่าจะคุยกันได้ อยากให้คุยกันแบบเฉพาะที่ ไทยยืนยันจะไม่นำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก เราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ พ.ศ.2503 เราจำกัดเฉพาะเรื่องที่เกิดความขัดแย้ง ข้อเสนอตนคือให้ถอยออกไปจากบริเวณศาลาตรีมุข 150-200 เมตร เหมือนปี 2024 ที่เคยตกลงกันไว้ ส่วนการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) วันที่ 14 มิ.ย. ต้องนำแผนที่และเรื่องต่างๆมาคุยกัน หากติดขัดไม่สามารถตกลงได้ ให้ตัวแทนเจบีซีลงไปดูในสถานที่เกิดเหตุเพื่อสรุป หากยังพูดคุยกันไม่ได้ เรามีความจำเป็นต้องเข้ามาจัดการกัมพูชาบอกอยากหลีกเลี่ยงสงคราม ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย จากข้อเสนอทั้งหมด กัมพูชาบอกน่าสนใจโอดทัวร์ลงเจรจา รมต.กัมพูชานายภูมิธรรมกล่าวต่อว่ายืนยันการประชุมเจบีซีวันที่ 14 มิ.ย. ยังมีเหมือนเดิม ขณะนี้ต้องระวังเรื่องข่าว เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ได้ไปพบฝ่ายกัมพูชาที่ค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดนทัวร์ลง บอกไม่มีศักดิ์ศรี เลิกสิ่งเหล่านี้เถอะ เพราะทำให้การทำงานแก้ปัญหายุ่งยากขึ้น ไม่ได้กลัวสงคราม แต่สิ่งที่เป็นผลกระทบทั้ง 2 ฝ่าย คนที่ โดนก่อนคือ ทหารแนวหน้าและประชาชนที่อยู่ชายแดน เราไม่กลัวถ้าจำเป็นต้องเกิด แต่อย่าไปเที่ยวยุให้เกิดสงคราม สงครามไม่เคยดีกับใครสักคนปค.ยันมีหลุมหลบภัยเพียงพอทางด้านนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมรับมือหากเกิดสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา แม้จะไม่มีสถานการณ์ก็มีการซักซ้อมเป็นปกติอยู่แล้ว หากสถานการณ์บานปลายสามารถอพยพได้ทันที ส่วนหลุมหลบภัย ยืนยันมีจำนวนเพียงพอ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย จะลงพื้นที่หลังกลับจากภารกิจต่างประเทศ ขวัญกำลังใจประชาชนในพื้นที่เต็มร้อย แต่ต้องไม่ประมาทนายกฯป้องรัฐบาล–กองทัพมีเอกภาพเวลา 11.50 น. หลังเสร็จสิ้นการประชุม สมช. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมพูดคุยถึงมาตรการต่างๆที่พร้อมรับมือ เช่น เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม นำกองทัพไปคุยกับกัมพูชาว่าให้ทุกฝ่ายทั้งกองทัพ รัฐบาล มาปรึกษากันก่อนดำเนินการใดๆ เราคุยกันอย่างดี ทราบในหน้าที่ตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือความเป็นเอกภาพการทำงานทั้งหมด ได้คุยกับนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไม่อยากให้เกิดกระแสปลุกปั่นใดๆว่า รัฐบาลหรือกองทัพมีปัญหากัน ทั้งที่ไม่มีปัญหาอะไร ทำงานสนับสนุนกันอย่างดี มีการเคลียร์กันหมดว่า หน้างานกองทัพสามารถตัด สินใจได้เลย เคลียร์เนื้องานหมดแล้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดการเจรจาอาจไม่ได้ลงในรายละเอียดทั้งหมดแต่ก็เกิดความเข้าใจ ยังไม่มีความรุนแรงขยายมากขึ้น กองทัพยืนยันจำกัดความรุนแรงไม่ให้เกิดขึ้น เป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุนให้อำนาจกองทัพตัดสินใจหน้างานผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องอ่อนไหว ประชาชนรอฟังว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร โดยเฉพาะพื้นที่ 200 เมตร ที่มีกระแสข่าวว่ากัมพูชารุกล้ำเข้ามา จะแก้ปัญหาอย่างไรให้รวดเร็วกว่านี้ น.ส.แพทองธารตอบว่า วันที่ 5 มิ.ย. คุยกันแล้ว รายละเอียดที่คุยเราต้องเคารพกันทั้งสองฝ่ายว่า ให้รายละเอียดได้มากน้อยแค่ไหน อยู่ในขั้นตอนเจรจา ทั้ง 2 ฝ่ายคุยเป็นไปด้วยความโอเค กองทัพยืนยันว่าเตรียมพร้อมทุกรูปแบบสำหรับทุกเหตุการณ์ กองทัพทราบอยู่แล้วว่าเหตุการณ์หน้างานเป็นอย่างไร ต้องปะทะหรือยัง เป็นการตัดสินใจของกองทัพ ให้หน้างานดูเลยว่าต้องปะทะหรือไม่ แต่ต้องใช้สันติวิธีให้มากที่สุด ตอนนี้ไม่มีใครช้าในเรื่องนี้ ทุกคนทำและคุยกันหมดแล้วอยู่ที่เราฟังส่วนไหนไม่ฟังส่วนไหนมากกว่า แถลงการณ์ 2 ฉบับจากรัฐบาลเรียบร้อยหมดแล้วในการดำเนินการและข้อตกลงแนวทางที่ไทยจะไปต่อยัน กต.–ทหารไปทางเดียวกันขณะที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า การต่างประเทศและการทหารต้องเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้ง 2 ประเทศมีสัมพันธ์ที่ดีมายาวนาน เราเห็นพ้องว่าการเจรจาฝ่ายกัมพูชาต้องใช้กลไกทวิภาคี เป็นสิ่งที่ผู้นำสองฝ่ายพูดคุยกันมาตั้งแต่ต้นคือ ทั้งระดับเจบีซี อาร์บีซี และจีบีซี เป้าหมายการเจรจาวันที่ 14 มิ.ย. จะเน้นเรื่องจุดปะทะ แก้ปัญหากระทบกระทั่งกัน เรื่องอื่นๆจะยังไม่ให้ความสำคัญตอนนี้ จะพูดถึงการแก้ปัญหาการเผชิญหน้า ลดความตึงเครียดกรอบกำลังทหารให้เป็นเรื่องราวก่อนในวงเจบีซีมีหน้าที่เจรจาเรื่องเขตแดนอยู่แล้ว จะดำเนินการไปพร้อมกัน พูดคุยเพื่อลดความรุนแรง ลดบรรยากาศกระทบกระทั่ง จะใช้กลไกทวิภาคีเป็นหลักก่อน ส่วนการชี้แจง จะประสานกลไกร่วมกัน เพื่อสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจในทิศทางเดียวกัน รวมถึงเรื่องข่าวสาร ขอความกรุณาช่วยกันป้องกัน ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ ยืนยันการต่างประเทศและการทหารไปด้วยกันอย่างเป็นเนื้อเดียวกันแน่นอนมุ่งจำกัดวงขัดแย้งให้มากสุดด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ต้องยึดมั่นหลักการปกป้องอธิปไตยประเทศและดำรงความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน หลักสำคัญมี 3 ด้านคือ ด้านต่างประเทศ ด้านกองทัพ ด้านการสื่อสาร ได้ปรับให้ชัดเจนมาร่วมกันทำงานมากขึ้น ในส่วนกองทัพยืนยันพร้อมรักษาอธิปไตยประเทศ ส่วนเรื่องการสื่อสาร กระทรวงต่างประเทศเป็นเจ้าภาพหลัก จะประสานโฆษกกระทรวงกลาโหม โฆษกกองทัพบก โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำงานร่วมกัน สมช. ตกลงและเห็นพ้องกันว่าเรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญต้องดูแลเต็มที่ ส่วนเรื่องอื่นๆจะประคองให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี ไม่เกิดการเสียประโยชน์ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เรามีภาระความจำเป็นต้องร่วมมือกันอีก เรื่องความขัดแย้งอยากจำกัดวงมากที่สุดตั้ง กก.เฉพาะกิจแก้ข้อพิพาทนายภูมิธรรมกล่าวถึงการพิจารณาปิดชายแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่ว่า เราพิจารณาทุกมาตรการ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว ส่วนจะมีมาตรการห้ามคนไทยข้ามไปบ่อนพนันฝั่งกัมพูชาหรือไม่ ยังไม่สามารถพูดได้ รอให้เกิดสถานการณ์แต่ละขั้น ค่อยหยิบมาตรการมาใช้ ต้องดูกองทัพหน้างานว่าอย่างไร กระทรวงการต่างประเทศยืนยันหลักกฎหมายอย่างไร ได้คุยทุกหน่วยงานแล้ว เมื่อถามว่า ข้อเสนอไทยให้กัมพูชาถอนกำลังทหารออกไป 200 เมตร ในจุดที่เกิดความขัดแย้ง นายภูมิธรรมตอบว่า ไม่ได้บอกให้ถอย แต่บอกให้เขาปรับกำลังเหมือนข้อตกลงปี 2567 ขณะนั้นไม่มีปัญหาก็ให้ปรับกำลังเป็นเช่นนั้น เราใช้วิธีพูดคุยทวิภาคี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาแก้ปัญหา เมื่อถามว่ามีการตั้งหน่วยเฉพาะกิจมาดูแลเรื่องนี้หรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจมาดูแลเรื่องนี้ ส่วนใครเป็นผู้รับผิดชอบ ให้รอดูรายละเอียด ต้องทำงานร่วมกัน 3 ส่วน คือ กระทรวง กลาโหม กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพ ขณะนี้ได้วางกลไกรายละเอียดต่างๆไว้แล้วปัดแถลงการณ์นอบน้อมกัมพูชาเมื่อถามว่าสังคมเรียกร้องให้ไทยมีมาตรการตอบโต้บ้าง นายภูมิธรรมตอบว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างปกติ จะหาทางสันติให้มากที่สุด ไม่อยากให้เกิดสงคราม แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ทหารมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตย ไม่วางเฉย พยายามตรึงกำลัง รัฐบาลยึดแนวทางสันติวิธี แต่หากวันข้างหน้ามีอะไรได้เตรียมการไว้หมดแล้ว ฝากสื่ออยากให้นำเสนอการแก้ปัญหา ถ้าลงคลาดเคลื่อนแล้วกระทบจะเป็นบาดแผลลึก ทำให้การทำงานยากขึ้น อย่าไปถามเรื่องศาลโลกเราไม่รับอยู่แล้ว อย่าไปเปิดประเด็น เรากำลังแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่แก้ได้ ให้ช่วยกันตรงนี้ เมื่อถามว่าท่าทีแถลงการณ์รัฐบาลไทยดูนอบน้อมกว่ากัมพูชาที่มีความแข็งกร้าว นายภูมิธรรมตอบว่า อย่ามองเป็นการนอบน้อม อย่างวันที่ 5 มิ.ย.มีคนบอกว่าตนเดินทางไปกัมพูชา ไปเป็นข้าของเขา มันไม่จริง ไม่ถนอมเลย เขามาหาเราถึงที่ ทำไมถึงไม่บอกว่าเขานอบน้อมเรา ทัศนคติแต่ละคนต่างกัน ต้องคิดบวก แบ่งเป็น 2 เรื่อง คือการปกป้องอธิปไตยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คิดเรื่องเดียวไม่ได้ทร.พร้อมเสริมกำลังช่องบกพล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร. กล่าวถึงกรณีกองทัพเรือกัมพูชาซ้อมรบใกล้ชายแดนเกาะกูด จ.ตราด ว่า ทั้งสองฝ่ายทราบขอบเขต พื้นที่ดีอยู่แล้ว จุดไหนเป็นของใครอย่าไปตื่นเต้นตกใจ ไม่น่าจะเป็นการปลุกกระแสความขัดแย้งเกาะกูด กองทัพเรือพร้อมสนับสนุนกองทัพบกรับมือสถานการณ์ชายแดน หากมีการร้องขอ ขึ้นอยู่กับการสั่งการจากส่วนกลาง หรือจะให้กองทัพเรือปรับแผนใหม่ก็ดำเนินการได้ สามารถนำกำลังในพื้นที่รับผิดชอบจ.จันทบุรี-ตราด เคลื่อนไปช่วยเหลือกองทัพบกบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี พร้อมดำเนินการถ้าสั่งมา พร้อมทำทันที การที่ทหารกัมพูชาละเมิดข้อตกลงเข้ามาในพื้นที่เขตแดนที่ยังไม่มีการปักปันในพื้นที่ช่องบกนั้น แผ่นดินไทยไม่ควรจะมีใครเข้ามาใช้ประโยชน์ เมื่อเข้ามาก็ต้องผลักดันออกไปทหารพร้อมใช้สันติวิธีแก้ปัญหาพล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทสส.กล่าวว่า กองทัพสนับสนุนแนวทางรัฐบาลในการแก้ปัญหาและคลี่คลายสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยสันติวิธี กองทัพปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการรักษาอธิปไตย คุ้มครองประชาชนตามแนวชายแดน วันนี้ในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ เป็นการประชุมตามวงรอบปกติทุก 2 เดือน จะพูดคุยถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชาในลักษณะสนับสนุนแนวทางรัฐบาลและ สมช. การสื่อสารจะเป็นไปทิศทางเดียวกัน คือกระทรวงต่างประเทศ รัฐบาล กระทรวงกลาโหม กองทัพในฐานะผู้ปฏิบัติงานขออนุญาตสงวนการให้ข้อมูลในส่วนข่าวประชาสัมพันธ์ผบ.ทบ.สั่งยกระดับความพร้อมที่ บก.ทอ. กองบัญชาการกองทัพไทย เวลา 14.45 น. มีการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 4 ปี 2568 มี พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. และ ผบ.ตร. เข้าร่วมประชุมพร้อมเพรียง กองทัพบกได้รายงานต่อที่ประชุมถึงเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานีว่า การปฏิบัติของทหารไทยเป็นไปตามกฎหมายและกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด เพื่อควบ คุมสถานการณ์ ป้องกันการรุกราน อิงตามแนวเส้นปฏิบัติการที่ประเทศไทยถือปฏิบัติต่อเนื่องมาโดยตลอด เหตุปะทะที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นระหว่างทหารไทยลาดตระเวนในพื้นที่ประเทศไทย ถูกฝ่ายทหารกัมพูชาเปิดฉากการยิง จึงยิงตอบโต้ ฝ่ายไทยได้ชี้แจงผ่านช่องทางการแล้วครบถ้วน แม้ฝ่ายไทยจะประสานงาน ผ่านกลไกเจรจาที่สองประเทศตกลงกันไว้ แต่กลับไม่ส่งผลคลี่คลายสถานการณ์เท่าที่ควร อีกทั้งยังตรวจพบการเพิ่มเติมกำลังของทหารฝ่ายกัมพูชา ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ผบ.ทบ.จึงสั่งการทุกหน่วยยกระดับความพร้อมกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และแผนเผชิญเหตุเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หากจำเป็นต้องดำเนินมาตรการทางทหาร เพื่อตอบโต้การรุกล้ำอธิปไตย และปกป้องคุ้มครองประชาชนกัมพูชาส่งทหารอีก 3 พันนายตรึง “ช่องบก”ในขณะที่ไทยยังพยายามใช้ “สันติวิธี” คลี่คลายปัญหาตึงเครียดชายแดน วันเดียวกัน มีรายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่ช่องบก จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต ว่า กัมพูชาได้เพิ่มกำลังทหารเข้ามาเสริมในพื้นที่อีกกว่า 3,000 นาย ทำให้มีทหารกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ช่องบกกระจายอยู่ในพื้นที่เนิน 745 เนิน 641 และพื้นที่ศาลาตรีมุข รวม 12,000 นายตั้งอาวุธเต็มหันกระบอกปืนมาฝั่งไทยรายงานข่าวแจ้งด้วยว่าทหารกัมพูชานำอาวุธหนักตั้งเต็มพื้นที่ชายแดน หันปลายกระบอกปืนมาฝ่ายไทย มีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ เครื่องยิงจรวด 4 ลำกล้อง ติดตั้งบนรถบรรทุก 6 ล้อ และรถบรรทุกจรวด 60 ลูก 1 คัน จรวดหลายลำกล้อง RM-70 ขนาด 122 มม. ปืนสั้น SH-1A ขนาด 155 มม. รถเรดาร์อุตุนิยมวิทยา 702D รถถังรุ่น T-55 ปืนใหญ่ขนาด 130 มม. M-64 ปืนใหญ่ขนาด 122 มม. ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 23 มม. ZU-23 จรวดต่อสู้อากาศยานระดับเพดานต่ำ QW-3 ปืนไร้แรงสะท้อนขนาด 82 มม. ปืนกลหนัก 12.7 มม. เครื่องยิงลูกระเบิดกึ่งอัตโนมัติรุ่น LG-4 จากจีน จรวดหลายลำกล้อง BM-21 สหภาพโซเวียตประณามเขมรไร้ความจริงใจที่รัฐสภา เวลา 11.00 น. พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะประธานกรรมาธิการ ทหารและความ มั่นคงของรัฐ วุฒิสภา แถลงกรณีเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ที่ จ.อุบลราชธานีว่า ขอประณามการกระทำอันไร้ความจริงใจ ความพยายามเอารัด เอาเปรียบของฝ่ายกัมพูชา รัฐบาลต้องดำเนินการทุกทางเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ คำนึงผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก ให้มีคณะกรรมการสนับสนุนการเจรจาเพื่อหาทางออก แก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคี ให้ความสำคัญต่อการปกป้องผลประโยชน์ชาติทุกมิติกมธ.ทหารลงพื้นที่ดูสถานการณ์จริงพล.อ.สวัสดิ์กล่าวอีกว่า วันที่ 9-10 มิ.ย.นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา รวบรวมเงินช่วยเหลือทหารในพื้นที่ มอบให้ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา เดินทางไปบริเวณชายแดนพร้อม กมธ.ทหาร ไปดูสถานการณ์ในพื้นที่จริงตามแนวแดน ตั้งแต่ปราสาทตาเมือนธม ผามออีแดงและช่องบก ไปเยี่ยมบำรุงขวัญทหารในพื้นที่ ทั้งนี้ กมธ.ทหารอาจเชิญหน่วยงานความมั่นคงมาหารือแนวทางรักษาอธิปไตยไทยให้ดีที่สุด เมื่อถามว่า ปัญหาไทย-กัมพูชา อาจเกี่ยวข้องดีลตระกูลชินวัตรกับกัมพูชา พล.อ.สวัสดิ์ตอบว่า ด้วยความเป็นคนไทย สุดท้ายแล้วต้องรักษาผลประโยชน์ อธิปไตย แผ่นดินไทยเป็นหลัก คงไม่คิดอะไรมากมายกว่าความเป็นคนไทย“บิ๊กป้อม” จี้รัฐบาลเด็ดขาดป้องอธิปไตยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนชัดเจน เด็ดขาด ไม่ยอมให้การรุกล้ำอธิปไตยถูกมองข้าม ให้ความสำคัญกับมาตรการตอบโต้ที่สมเหตุสมผล ทั้งด้านการทูต เศรษฐกิจ กฎหมาย และศักยภาพทางทหาร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของไทย ประเทศไทยยึดหลักสันติวิธี ไม่ต้องการเผชิญหน้า แต่หากอีกฝ่ายไม่จริงใจไม่ยอมใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ กลับปลุกปั่น ป้ายสี ยกระดับปัญหาไปสู่เวทีโลก ไทยก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือทุกมิติ การประนีประนอมแบบไม่ลึกซึ้ง จะยิ่งทำให้คู่เจรจาไม่เกรงใจ ไม่เกรงกลัว กติกาสากลมีไว้ใช้กับสุภาพบุรุษ เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเจรจาด้วยความจริงใจ ต้องเตรียมมาตรการเชิงรุก สร้างแต้มต่อให้ฝ่ายไทยได้เปรียบ ไม่หลงกล ขอส่งสารชื่นชมกำลังพลทุกนายในพื้นที่ชายแดน กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยเฉพาะ มทภ.2 ที่เสียสละเฝ้าระวังภัยคุกคามต่อแผ่นดินด้วยความเข้มแข็งชี้คดี “ทักษิณ” 13 มิ.ย.ทำไทยหงอเขมรทางด้านนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวว่า การขับเคลื่อนของกัมพูชาครั้งนี้ เร่งรัดกระบวนการค่อนข้างรวดเร็วให้ไปถึงศาลโลก ไม่คุยกับฝ่ายไทย รัฐบาลกัมพูชาอาจใช้ประเด็นนี้เรียกร้องความนิยม ดึงความสนใจการเมืองภายในกัมพูชา ไทยต้องวางจุดยืนให้ชัดเจนจะยอมหรือไม่ยอมได้แค่ไหน ท่าทีรัฐบาลไทยการ์ดหลวมตั้งแต่แรก การแสดงออกฝ่ายบริหารไทยค่อนข้างเบา น่าจะเข้มแข็งกว่านี้ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรกับสมเด็จฮุน เซน มีส่วนกับสถานการณ์แน่นอน แม้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกพูดคุยกันเป็นประจำแต่ไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งทำให้สถานการณ์คลุมเครือมากขึ้น ความสัมพันธ์ทั้ง 2 ครอบครัว ทำให้ลืมความสัมพันธ์ในบริบทเชิงโครงสร้าง หลายคนมองว่า คดีความนายทักษิณในวันที่ 13 มิ.ย.ทำให้ท่าทีรัฐบาลดูเหมือนยอมกัมพูชา เป็นไปได้ที่นายทักษิณกังวล ถ้าเกิดทำอะไรแล้ว ทำให้กัมพูชาไม่พอใจ อาจไม่สามารถเดินข้ามไปฝั่งกัมพูชาได้ หากมีอะไรเกิดขึ้น เป็นการประเมินของนักวิเคราะห์การเมืองที่มีความเป็นไปได้ แต่คงไม่ถึงขั้น 100%คปท.ชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชาที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ถนนประชาอุทิศ เวลา 09.30 น. กลุ่มมวลชนเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทยหรือ คปท. นำโดยนายพิชิต ไชยมงคล นายใจเพชร กล้าจน เดินทางมาชุมนุมเจตนารมณ์ถึงการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย พร้อมปราศรัยแสดงเจตจำนงปกป้องประเทศชาติ จากปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา มีตำรวจ สน.วังทองหลางและ บก.น.4 ทั้งใน-นอกเครื่องแบบ 100 นาย ดูแลความสงบเรียบร้อยพร้อมนำแผงรั้วเหล็กมาวางกั้นเป็นแนวยาว กันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าประชิดกำแพงสถานเอกอัครราชทูต เนื่องจากอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงระหว่าง 2 ประเทศ มีเจ้าหน้าที่สถานทูตกัมพูชาเปิดกระจกหน้าต่างออกมา ใช้มือถือถ่ายภาพการชุมนุมเป็นระยะๆจวกพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวงุ่มง่ามนายพิชิตกล่าวว่า เหตุการณ์ปะทะกันที่ช่องบกเมื่อวันที่ 28 พ.ค. จากข้อมูลของทหาร พบทหารกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทยก่อน จึงพาประชาชนมาแสดงเจตจำนงถึงรัฐบาลกัมพูชาว่า จะไม่ยินยอมให้กัมพูชารุกรานอธิปไตยไทยเป็นอันขาด ส่วนที่มีการประชุม สมช.และผู้นำเหล่าทัพหารือเกี่ยวกับกรณีพิพาทดังกล่าว หวังว่าการประชุมครั้งนี้จะยืนหยัดในอธิปไตยของประเทศชาติ โดยเฉพาะการเน้นย้ำว่า ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนโต๊ด เป็นของประเทศไทย คนไทยฝากความหวังไว้ที่กลไกของ สมช. สภากลาโหมและกองทัพ โดยหวังว่ารัฐบาลไทยจะเชื่อฟังกลไกดังกล่าวและที่พรรคเพื่อไทยโพสต์ข้อความอ้างอิงจากนายภูมิธรรมว่า มีการรุกล้ำดินแดนอธิปไตยจริง 200 เมตร เป็นความเคลื่อนไหวที่ช้าเกินไป ท่าทีของพรรคเหมือนเพิ่งตื่นจากข้อเท็จจริง พรรคเพื่อไทยควรเรียกร้องให้รัฐบาลเป็นผู้แสดงจุดยืน ปกป้องอธิปไตยในนามของรัฐบาลไม่ใช่ในนามพรรค จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ยืนร้องเพลงชาติไทยและประกาศยุติการชุมนุมก่อนเดินทางกลับไปรวมตัวชุมนุมที่สะพานชมัยมรุเชฐอ.ศ.ม.ร.ออกแถลงการณ์โต้เขมรรุกรานวันเดียวกัน องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัย รามคำแหง (อ.ศ.ม.ร.) นำโดยนายศิริมงคล อินทร์แก้ว นายก อ.ศ.ม.ร. ออกแถลงการณ์ต่อต้านการรุกรานแผ่นดินไทยทุกรูปแบบ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีท่าทีที่ชัดเจนต่อการปกป้องอธิปไตยของชาติ ต้องประกาศชัดเจนถึงมาตรการการป้องกันเชิงรุกพร้อมโต้กลับหากเกิดการรุกราน เราไม่ต้องการสงคราม แต่รัฐบาลต้องแสดงพลังให้เห็นถึงแสนยานุภาพในการป้องกันราชอาณาจักรไทย ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการเจรจา JBC ภายใต้เงื่อนไขที่กัมพูชาอ้างสิทธิเหนือดินแดนของประเทศไทยทั้ง 4 จุดที่กัมพูชานำไปฟ้องศาลโลกและไทยควรประกาศความเป็นเอกภาพในผืนแผ่นดินไทย เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันปกป้องอธิปไตยของชาติ อ.ศ.ม.ร.จะติดตามสถานการณ์ การทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดพร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชนทั้งชาติเพื่อปกป้องอธิปไตยของเรา ขอเตือนผู้นำรัฐบาลว่าอธิปไตยของชาติสำคัญกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวส่องขุมกำลังกองทัพเรือพร้อมรบสูงสุดจากสถานการณ์ความไม่สงบและปัญหาพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ที่กำลังปะทุความรุนแรงจนอาจถึงขั้นการสู้รบ ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ จ.ชลบุรี ไปส่องขุมกำลังหน่วยกำลังรบของกองทัพเรือ ที่มีความพร้อมสูงสุด โดยหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง หรือ สอ.รฝ. ถือเป็นหน่วยกำลังรบหลักที่สำคัญของกองทัพเรือ มีภารกิจหน้าที่ในการปกป้องและรักษาอธิปไตยของชาติทางทะเลและน่านฟ้า ปัจจุบัน พล.ร.ต.เอตม์ ยุวนางกูร เป็นผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ผบ.สอ.รฝ.) คุมกำลังพลรบ 42,000 นาย และได้รับการฝึกฝนด้านการรบ ทั้งด้านยุทธวิธี การใช้อาวุธอย่างดีเยี่ยมหน่วยต่อสู้อากาศยานทรงแสนยานุภาพผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง มีอาวุธประจำหน่วยที่สำคัญ มีความทันสมัยและทรงแสนยานุภาพในการทำลายล้าง ประกอบไปด้วย ปืนใหญ่กลางกระสุนวิธีราบ ขนาด 130 มิลลิเมตร ปืนใหญ่รักษาฝั่งกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 37 และ 40 มิลลิเมตร อาวุธยิงจรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA-S จำนวน 2 ระบบ แบบประทับบ่าและติดตั้งกับตัวรถแท่นคู่ มีระยะการยิง 1,800 เมตร ตรวจจับเป้าหมายด้วยการรับรังสีอินฟราเรดที่แพร่ออกมาจากแหล่งความร้อนของตัวอากาศยาน อาวุธจะทำการล็อกเป้า ตัวจรวดจะติดตามพุ่งเข้าทำลายเป้าหมายอย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ยังมีอาวุธที่เข้ามาประจำการใหม่ล่าสุด คือ อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศอัตตาจร FK-3 ระยะปานกลางแบบเคลื่อนที่ มีระยะการยิงแม่นยำไกล 5-100 กิโลเมตร ผลิตจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มีประจำการในหน่วย 3 คัน คันละ 4 ท่อยิง รวม 12 ท่อยิง สามารถยิงขีปนาวุธต่อเนื่องพร้อมกัน 12 นัด จึงถือเป็นเขี้ยวเล็บที่ทรงแสนยานุภาพสูงสุด ของหน่วยในเวลานี้รับบริจาคมอบทหารชายแดนที่ที่ทำการสมาคมทหารผ่านศึก จันทบุรี-ตราด ริมถนนมหาราช ต.จันทนิมิต อ.เมืองจันทบุรี วันเดียวกัน มีการตั้งเต็นท์เปิดรับบริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค เครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อนำไปมอบให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่ที่มีความตึงเครียด โดยสิบตรีธนเมษฐ์ ดารากุลไวนุวัฒน์ นายกสมาคมฯ นำพี่น้องทหารผ่านศึกแต่งเครื่องแบบมาคอยรับมอบสิ่งของจากพี่น้องชาวจันทบุรี ตราด และระยอง ที่พากันนำสิ่งของต่างๆมามอบให้จำนวนมาก โดยสิ่งของที่จำเป็นคือ ยารักษาโรค ยากันยุง ค่อนข้างจำเป็น และจะเปิดรับผลไม้ของจันทบุรี ระยอง ตราด นำไปมอบให้กำลังพล จะปิดรับบริจาคเย็นวันที่ 12 มิ.ย. และเดินทางไปในวันที่ 13 มิ.ย. ที่กรมทหารพรานที่ 23 จ.ศรีสะเกษ จากนั้นจะเดินทางนำสิ่งของไปมอบให้เหล่าทหารหาญที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ต่อไปศรีสะเกษสั่งซ่อมหลุมหลบภัยที่ห้องประชุมโครงการชลประทานศรีสะเกษ อ.เมืองศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผวจ.ศรีสะเกษ เป็นประธานในการประชุมแผนปฏิบัติการเฉพาะกิจการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้แต่ละส่วนมีความพร้อมในทุกด้านเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.ศรีสะเกษ ขึ้นมา และเปิดเผยว่า ภาพรวมพื้นที่ชายแดนของ จ.ศรีสะเกษยังปกติ จากการลงพื้นที่ชายแดนประชาชนยังมีขวัญ กำลังใจที่ดี และตื่นรู้แต่ไม่ตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในส่วนหลุมหลบภัย ในพื้นที่ได้สั่งการให้นายอำเภอ ผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ เข้าไปตรวจดูว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้ส่งกำลัง เครื่องจักร เข้าไปช่วยเหลือปรับปรุง ซ่อมแซมในส่วนที่พัง ชำรุดเสียหายมอบโล่กันกระสุนให้ ตร.สายตรวจชายแดนที่ สภ.คลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตอนเช้าวันที่ 6 มิ.ย. พ.ต.อ.ภัทรกร ขาวนวล ผกก. สภ.คลองลึก ส่งมอบโล่กันกระสุนและสะเก็ดระเบิด ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ เพื่อเสริมความปลอดภัยและเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในอนาคต โดยมี พ.ต.ท.พุฒิพัฒน์ โกสินอภิวัฒน์ รอง ผกก.ป. และ พ.ต.ท.สิทธิพร สวยรูป สวป.สภ.คลองลึก เป็นผู้แทนรับมอบโล่ที่จะถูกนำไปใช้ในเจ้าหน้าที่สายตรวจในพื้นที่ ต.ป่าไร่ และ ต.ท่าข้าม ที่เป็นหมู่บ้านแนวชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา พ.ต.อ.ภัทรกรเปิดเผยว่า การจัดหาโล่กันกระสุนและสะเก็ดระเบิดครั้งนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการเสริมความปลอดภัยให้กับตำรวจในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะอ.อรัญประเทศ ถือเป็นพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ ที่มีการเคลื่อนไหวของคนและสินค้าอย่างต่อเนื่อง บางครั้งอาจเกิดเหตุการณ์ตึงเครียดหรือความไม่สงบขึ้นได้ การเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนนสพ.เขมรโจมตีไทยไม่รับอำนาจศาลโลกวันเดียวกัน นสพ.ขแมร์ไทมส์ของทางการกัมพูชา รายงานว่า ประเทศไทยย้ำจุดยืนไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก หรือ ICJ) ในการพิจารณาคดีพิพาทดินแดนกับกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2503 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เป็นผลจากการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.และยังรายงานว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อศาลโลกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.เพื่อแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนกับไทยใน 4 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย ใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และบางส่วนของพื้นที่มอมเบย ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี หลังเกิดการปะทะของทหารทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย แต่กัมพูชายืนยันความมุ่งมั่นในการเจรจาทวิภาคีและจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมปักปันเขตแดนในวันที่ 14 มิ.ย. โดยจะไม่นำพื้นที่พิพาททั้ง 4 มาหารือแห่ใช้โซเชียลมีเดียหนุนมาตรการรัฐส่วนประเด็นการค้าระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย นายลี โสวันนาริธ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบันทายมีชัย กล่าวว่า การค้าที่ชายแดนหลักระหว่างปอยเปตและ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ของไทยยังไม่มีการหยุดชะงัก ยังมีการข้ามแดนตามปกติ สังเกตว่ายังไม่มีสัญญาณใดๆของการส่งกองกำลังทหารไปยังพื้นที่ดังกล่าว ขอให้พ่อค้าและนักท่องเที่ยวไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังรายงานด้วยว่า ชาวกัมพูชาจากทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร พรรคการเมือง กองทัพ ภาคเอกชน ประชาชนทั่วไป พากันใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียแสดงความสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อมาตรการของรัฐบาลกัมพูชา ในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนกับประเทศไทย ปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนตามกฎหมายและการยอมรับของนานาชาติ โดยยังคงรักษาจุดยืนที่นุ่มนวลแต่ไม่อ่อนแออ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่