ความขัดแย้งตามพื้นที่พรมแดนสามารถเกิดได้ทุกเมื่อ และหลายต่อหลายครั้งมักมีต้นตอจากความเข้าใจผิด ขาดการสื่อสารกันอย่างเหมาะสมระหว่างหน่วยรบทั้งสองฝ่ายแต่ในบางครั้งก็สามารถมองได้ว่าเป็นการ “ลองเชิง” เพื่อดูว่าฝ่ายตรงข้ามมีช่องโหว่หรือไม่ หรือมีความพร้อม มีกระบวนการตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนมากน้อยเพียงใด ไปจนถึงเพื่อการเช็กสมรรถภาพของอาวุธที่ฝ่ายตรงข้ามมีอยู่ในมือเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังครอบคลุมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งหรือเหตุพิพาทในพื้นที่ต่างๆทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทะเลจีนใต้ หรือทะเลจีนตะวันออกที่มีการแหย่ระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายหนึ่งมีความพยายามทดสอบว่า “เส้นแดง” ที่ไม่ควรข้ามอยู่ตรงไหน หากล้ำไปนิดนึงแล้วอีกฝ่ายไม่ว่าอะไรหรือ “ทำอะไรไม่ได้” เนื่องจากไม่มีอะไรไปต่อกร ก็ย่อมเกิดการ “ได้คืบเอาศอก” อยู่เสมอๆฟิลิปปินส์-เวียดนาม-จีน มีผลลัพธ์ที่เห็นกันชัดเจนอยู่ แต่พอเป็นจีน-ญี่ปุ่น หรือญี่ปุ่น-รัสเซีย รูปการณ์ก็จะออกมาอีกแบบ หรือข้ามไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางที่ไม่มีใครกล้าลองของกับชาติที่ทรงพลังอย่างอิสราเอล อิหร่าน หรือซาอุดีอาระเบีย หรือถ้าจะลองก็ต้องมีความเนียน ในระดับที่ยากจะตามรอยไปถึงต้นตอเพราะสุดท้ายแล้วสองฝ่ายที่เผชิญหน้าลองกันไปมา จนเกิดความรับรู้ว่าสถานการณ์ภาพรวมเป็นเช่นไร คุ้มหรือไม่ที่จะเสี่ยง ก็มักจะมีคำตอบที่เก็บไว้ในใจว่าเราทำได้แค่ไหน อย่าดีกว่าไหม ทว่าบทสรุปอาจจบลงที่การ “ใช้ความรุนแรง” เนื่องด้วยปัจจัยประกอบอื่นๆที่หลีกหนีไม่พ้นด้วยเหตุนี้ การปะทะที่พรมแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีวันก่อน อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเรื่องลองเชิงก็ได้ทั้งสองอย่าง แต่สิ่งสำคัญคือการป้องปรามไม่ให้ความรุนแรงลุกลามบานปลาย.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม