การต่อสู้ภายในบ้านระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าของโลกในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสตต์ ของสหรัฐฯ ยังไม่มีทีท่าจะจบลงในเร็ววันหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯเล่นใหญ่ตัดสิทธิฮาร์วาร์ดรับนักศึกษาต่างชาติเมื่อสัปดาห์ก่อน ล่าสุดผู้นำสหรัฐฯต้องการให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเปิดเผยชื่อและประเทศที่มาของนักศึกษาต่างชาติทุกคน ต่อจากการจิกกัดว่าฮาร์วาร์ดไม่ยอมบอกว่านักเรียนเกือบ 31% มาจากต่างประเทศ แถมบางประเทศก็ไม่เป็นมิตรกับสหรัฐฯอีกต่างหาก ที่สำคัญยังกล่าวหาบางประเทศเหล่านั้นไม่สนับสนุนเงินการศึกษาให้นักเรียนอีกด้วยไม่แน่ชัดว่าหมายถึงประเทศใดและใช้ข้อมูลจากไหน หรือพูดเอามันตามคาแรกเตอร์ ส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสถาบันการศึกษานานาชาติสหรัฐฯ (Institute of Inter national Education) เผยว่า ในปีการศึกษา 2566-2567 มีนักศึกษาต่างชาติในมหาวิทยาลัย ของสหรัฐฯ ราว 1.12 ล้านคน เป็นนักศึกษาจาก อินเดีย มากสุดเกิน 300,000 คน นักศึกษาจาก จีน เกิน 200,000 คน ส่วนใหญ่เรียนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม ศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ส่วนอันดับ 3 เป็นนักศึกษาจากแคนาดากว่า 28,000 คนขณะที่ข้อมูลจาก National Founda tion for American Policy กลุ่มวิจัยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดชี้ว่านักศึกษาต่างชาติเป็นส่วนสำคัญของสถาบันการศึกษาระดับสูงและสังคมสหรัฐฯมายาวนานหลายสิบปี นอกจากจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ยังส่งให้สหรัฐฯกลายเป็นศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมล้ำสมัย เป็นเรี่ยวแรงผลักดันให้บริษัทสหรัฐฯประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นผู้นำโลกด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะในซิลิคอนวัลเลย์ด้าน Association of International Educators (NAFSA) หรือสมาคมนักการศึกษานานาชาติยังประเมินว่า ค่าใช้จ่ายของนักศึกษาต่างชาติในปีการศึกษา 2563-2564 ช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเกือบ 44,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.4 ล้านล้านบาท) โดยนักศึกษาต่างชาติของฮาร์วาร์ดมีส่วนช่วยราว 384 ล้านดอลลาร์ (12,525 ล้านบาท)และอย่าลืมว่า “การศึกษา” ถือเป็น “ซอฟต์พาวเวอร์” อันทรงพลัง นักเรียนต่างชาติกลับไปยังบ้านเกิดมีแนวโน้มสูงที่จะเป็นผู้นำหรือผู้บริหาร เป็นสะพานเชื่อมทั้งการค้า และความสัมพันธ์กับสหรัฐฯที่แข็งแกร่งเสียแต่ว่าผู้นำสหรัฐฯคงไม่ได้ใส่ใจ.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม