ท่านผู้อ่านคงจะพอจำได้ เมื่อราวๆต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หัวหน้าทีมซอกแซก เขียนเกริ่นไว้ในคอลัมน์ปกติประจำวัน ว่าหลบไปนอนค้างที่บ้านพักเชิงเขาใหญ่ของคุณประกิต อภิสารธนรักษ์ เจ้าพ่อบริษัทโฆษณาไทย, เพื่อนรักหัวหน้าทีม มา 2–3 วันตระเวนเที่ยวโน่น เที่ยวนี่หลายต่อหลายแห่งในบริเวณนี้...พร้อมกับเกริ่นว่าจะเขียนซอกแซกถึงเป็นระยะๆไป หลังจากเรื่องราวเดิมที่เขียนติดพันอยู่ ทยอยจบลงดังนั้น เมื่อเรื่องราวที่ติดค้างอยู่จบลงครบทุกเรื่อง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็มาเริ่มต้นเขียนถึงซอกแซกชุดใหม่ “ปากช่อง-เขาใหญ่” และบริเวณใกล้เคียงกันได้เลย ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไปขอเริ่มด้วยการขึ้นสู่ “เขาใหญ่” เพื่อไปส่องสัตว์เป็นกิจกรรมแรกเลยนะครับ เพราะชื่อเสียงที่โด่งดังติดปากคนไทยทั้งประเทศมาเป็นเวลายาวนาน นับตั้งแต่หัวหน้าทีมยังเป็นเด็ก ก็คือความเป็นป่าใหญ่ ความเป็นอุทยานแห่งชาติที่ได้ชื่อว่ายังอุดมสมบูรณ์ที่สุด แห่งหนึ่งของประเทศไทยเป็นที่พึ่งพาอาศัยของ “สัตว์ป่า” มากมายหลายชนิดทั้งที่ดุร้าย และไม่ดุร้าย รวมทั้งยังมีน้ำตก มีแวดวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างยิ่งเมื่อ พ.ศ.2505 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเล็งเห็นว่า บริเวณเขาใหญ่มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จึงได้ตราพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติขึ้น ตั้งเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทยข้อมูลที่เขียนไว้ในศูนย์นักท่องเที่ยวที่เขาใหญ่ระบุว่า ปัจจุบันนี้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีพื้นที่ถึง 1,354,200 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 11 อำเภอ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา, ปราจีนบุรี, นครนายก และสระบุรีในส่วนที่เกี่ยวกับความเป็นป่านั้น ข้อความในนิทรรศการบรรยายว่า ประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบชื้น ป่าดิบเขา ทุ่งหญ้า ฯลฯ มีพืชพรรณ 3,000 ชนิด มีผีเสื้อกว่า 189 ชนิด นกป่ากว่า 350 ชนิด และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 71 ชนิด ได้แก่ ช้าง เสือ ชะนี กวาง และหมูป่า ฯลฯ เป็นต้นเมื่อครั้งหัวหน้าทีมจบมหาวิทยาลัยและเข้าทำงานปีแรกๆ พ.ศ.2507-2508 จำได้ว่า ข้าราชการหนุ่มสาวรุ่นเดียวกันเกือบ 20 คน ได้ร่วมทุนกันเช่ารถแลนด์โรเวอร์ ชนิดปีนเขาได้ไปขอพักแรมบนเขาใหญ่ จำได้ว่าแทบไม่ต้องออกไปส่องเลยตลอดเช้าสายบ่ายเย็น จนถึงคํ่าคืน เพราะจะมีสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะกวาง, เก้ง, ชะนี, ลิง ฯลฯ มาทักทายที่บริเวณบ้านพักไม่ขาดสายบางครั้งก็อาจจะมี “เสือ” หรือ “ช้าง” ผ่านมาใกล้ๆเสียด้วยซํ้าด้วยเหตุนี้เมื่อมีโอกาสไปเขาใหญ่อีกหน เมื่อต้นพฤษภาคมที่แล้ว หัวหน้าทีมจึงขอร้องให้บรรจุกิจกรรม “ส่องสัตว์” ไว้เป็นกิจกรรมต้นๆเลยทีเดียวทุกวันนี้กิจกรรมส่องสัตว์เขาใหญ่ ซึ่งจัดโดยศูนย์ท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จะมีขึ้นวันละ 2 รอบ คือรอบ 19.00 น. และ 20.00 น.แต่ทั้งนี้จะต้องขึ้นไป “จองรถ” ที่เขาจัดไว้บริการแก่นักส่องสัตว์คันละ 600 บาทต่อ 1 เที่ยว สามารถนั่งได้ 8-10 คน ก่อนเวลา 18.00 น. เพราะจะเป็นเวลาปิดประตูห้ามขึ้นเขาใหญ่เด็ดขาดในแต่ละวัน (อนุญาตให้ลงได้อย่างเดียว)เราจึงต้องขึ้นไปก่อน 18.00 น. และเมื่อจองคิว “รถส่องสัตว์” เรียบร้อยแล้วก็จะยังพอมีเวลาก่อนออกส่องเป็นชั่วโมง จะถือโอกาสขับรถตระเวนไปรอบๆ ซึ่งจะมีร้านอาหารตามสั่งสำหรับพนักงานอุทยานไว้บริการอยู่ 2-3 แห่ง เพื่อรองท้องเสียก่อนก็ยังได้ได้เวลา 19.00 น. เป๊ะ บรรดารถส่องสัตว์ของอุทยานก็จะมารับเราตามคิวที่นัดไว้พร้อมกับนำออกตระเวนส่องเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร เพื่อดูสัตว์ต่างๆที่ออกหากินตามคํ่าคืนรถบริการจะเป็นของเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานลงทุนกันเองแล้วมาร่วมโครงการ เพื่อเป็นรายได้เสริม หรือสวัสดิการ ไม่มีบุคคลภายนอกอย่างเด็ดขาดน่าจะมีเป็นร้อยคัน เพราะในช่วงฤดูหนาวที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ แต่ละรอบอาจมีรถส่องสัตว์ฉวัดเฉวียนไปมาคึกคักไปหมดสำหรับรอบที่ครอบครัวซอกแซกไปร่วมส่องนั้นน่าจะมีสัก 20 กว่าคันเท่านั้น เพราะเดือนพฤษภาคมถือเป็นช่วงนอกฤดูกาลนักท่องเที่ยวจะถูกส่งตัวขึ้นนั่งในกระบะเปิดประทุน มีโครงเหล็กคุ้มกันรัดกุมด้านหลังรถ โดยมีไกด์ประจำรถนั่งหรือยืนคอยส่องไฟให้เราพร้อมอธิบายถึงสัตว์ที่พบเห็นต่างๆระหว่างตระเวนส่อง 2 ชั่วโมงนั้น ตื่นเต้นสนุกสนานมากครับ โดยเฉพาะเด็กๆวี้ดว้ายกระตู้วู้ไปตามๆกัน และจากบทสรุปชุดของเราพบกวาง 2-3 ตัว เม่น 2-3 ตัว หมาจิ้งจอก 1 ตัว ชะมด อีเห็น และหมาใน อย่างละ 1 ตัวแต่สำหรับผู้เฒ่าอย่างหัวหน้าทีมที่เคยมานอนเมื่อ 60 ปีที่แล้ว และมีกวางมาวิ่งเล่นเต็มบ้านพัก และเห็นช้างป่าเดินผ่านไปมาด้วย กลับมีความรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูกทำอย่างไรได้ ข้อมูลล่าสุดบอกว่าไม่มี “เสือ” ในเขาใหญ่มากว่า 20 ปีแล้ว ช้างป่า หมีป่า ยังมีอยู่ แต่นานๆจะโผล่มาให้ส่องที...อีกหน่อยกวางก็อาจน้อยลงด้วย เพราะพอไม่มีเสือมาคอยกินหมาใน หมาในก็เลยเยอะขึ้น ไล่กินกวางจนชักร่อยหรอ เกิดภาวะความ “ไม่สมดุล” ขึ้นกับป่าเขาใหญ่แต่ก็มีข่าวว่าทางหัวหน้าอุทยานปัจจุบันกับทีมงานของท่านกำลังทำทางในป่า เพื่อ “ล่อเสือ” จากป่าอื่นๆให้อพยพมาอยู่เขาใหญ่บ้าง...ขอเอาใจช่วยเต็มที่นะครับ ความสมดุล ของป่าเขาใหญ่จะได้กลับมาเหมือนเดิม.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “ซูมซอกแซก” เพิ่มเติม