“โลกร้อนขึ้น ...ฟ้าผ่าบ่อยขึ้น ระวังตัวด้วย!” อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม โพสต์เตือนภัยไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Sonthi Kotchawat” เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นสำคัญมีว่า...ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “โลก” เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทาง “ภูมิอากาศ” ที่รุนแรงและถี่ขึ้นอย่างน่าตกใจ “ภาวะโลกร้อน”...กลายเป็นปัญหาระดับโลกที่กระทบต่อสภาพแวดล้อม สุขภาพ เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วโลกหนึ่งในผลกระทบที่เริ่มเห็นได้ชัดเจนในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ตามรายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลกและองค์การนาซา ให้ข้อมูลไว้ว่า... ทุกๆ 1 องศาเซลเซียสที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น จำนวนครั้งของฟ้าผ่าอาจเพิ่มขึ้นได้ถึง 12–15% สาเหตุสำคัญมาจากความร้อนที่ทำให้อากาศชื้นลอยตัวสูงขึ้น เกิดเป็น “เมฆคิวมูโลนิมบัส” ซึ่งเป็นแหล่งก่อกำเนิดของพายุฝนฟ้าคะนองและฟ้าผ่าน่าสนใจอีกว่า...ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าในประเทศไทยพบมากใน “ฤดูฝน” แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่า ฟ้าผ่าเกิดขึ้นนอกฤดูกาลมากขึ้น เช่น ในฤดูแล้ง กลางวันแดดจ้า หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่ดูปลอดโปร่งปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจากความไม่เสถียรของชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติและการสะสมตัวของไอน้ำจำนวนมากอาจารย์สนธิ ย้ำว่า ช่วงนี้เกิดพายุฤดูร้อนฟ้าฝนคะนองเกิดฟ้าผ่าบ่อยขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย สาเหตุจากโลกร้อนขึ้นทำให้มีความชื้นในอากาศในช่วงฤดูร้อนเพิ่มขึ้น เกิดเมฆคิวมูโลนิมบัสก่อตัวขึ้นในท้องฟ้ามากขึ้นเป็นสาเหตุของฝนฟ้าคะนอง..เกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบและฟ้าผ่าบ่อยขึ้น “ฟ้าผ่า” เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุอิเล็กตรอนภายในก้อนเมฆหรือเกิดขึ้นระหว่างก้อนเมฆหรือเกิดขึ้นระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน มีการเคลื่อนที่ของกระแสอากาศขึ้นลงภายในก้อนเมฆ ก้อนเมฆคิวมูโลนิมบัส...เป็นก้อนเมฆที่เกิดจากอากาศร้อนแล้วมีไอน้ำสะสมไว้มากต่อตัวในแนวตั้งทำให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าในแต่บริเวณของก้อนเมฆและก้อนเมฆกับพื้นดินกลายเป็นสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ โดยมีประจุบวกอยู่ด้านบนของก้อนเมฆและมีประจุลบอยู่ด้านล่างของก้อนเมฆเมื่ออิเล็กตรอนภายในก้อนเมฆเคลื่อนที่ทำให้เกิดแสงสว่างเรียกว่าฟ้าแลบเมื่อเกิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในก้อนเมฆทำให้บริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงมากจนขยายตัวอย่างฉับพลันส่งผลทำให้เกิด “Shock wave” ส่งเสียงดัง เรียกว่า “ฟ้าร้อง”ถัดมา...ฟ้าผ่าจากฐานเมฆลงสู่พื้นดินเรียกว่าฟ้าผ่าแบบลบส่วนใหญ่จะผ่าลงบริเวณใต้เงาของเมฆฝนฟ้าคะนอง แต่ฟ้าผ่าที่มาจากยอดเมฆลงสู่พื้นดินเรียกว่าฟ้าผ่าแบบบวกสามารถผ่าได้ไกลจากก้อนเมฆถึง 40 กม.ภายใน 1 วินาที จะเกิดขึ้นหลังฝนฟ้าคะนองซาลงแล้วจะทำอันตรายต่อประชาชน สัตว์เลี้ยง สิ่งต่างๆได้มาก“หากมีเมฆฝนคะนองอยู่เหนือศีรษะแล้วเส้นขนบนผิวหนังลุกขึ้นหรือเส้นผมบนศีรษะลุกตั้งขึ้นแสดงว่ากำลังเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือหากเกิดฝนฟ้าคะนองใกล้ตัวระยะ 16 กิโลเมตร และได้ยินเสียงฟ้าร้องหลังจากฟ้าแลบแล้วน้อยกว่า 30 วินาที...แสดงว่าอยู่ใกล้เขตเสี่ยงต่อฟ้าผ่า” การป้องกันฟ้าผ่า อาจารย์สนธิ บอกว่า อาคารสูงต้องติดตั้งสายล่อฟ้าไว้บนยอดอาคาร และเดินสายกราวด์ไปยังพื้นดินเพื่อเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าจากอาคารให้ผ่านลงสู่พื้นดินโดยไม่สร้างความเสียหายให้แก่ตัวอาคาร หากอยู่ในที่โล่งแจ้งให้หาที่หลบที่ปลอดภัย เช่น อาคารขนาดใหญ่แต่...อย่าอยู่ใกล้ผนังของอาคาร ประตู หน้าต่าง หรือหากขับรถให้จอดข้างทางห่างจากต้นไม้ใหญ่และหลบอยู่ภายในรถยนต์ที่ปิดกระจกมิดชิด...ห้ามสัมผัสกับตัวถังรถโดยเด็ดขาด ในกรณีหาที่หลบฝนที่มีฟ้าแลบฟ้าร้องไม่ได้ให้ใช้วิธีหมอบนั่งยองๆ ซุกศีรษะระหว่างขา เพื่อลดพื้นที่สัมผัสกับพื้นให้น้อยที่สุดข้อห้ามคือ...อย่านอนหมอบกับพื้นเพราะกระแสไฟฟ้าอาจวิ่งตามพื้นได้“หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับโลหะทุกชนิดและสายไฟ เนื่องจากโลหะเป็นตัวนำไฟฟ้า รวมทั้งอย่าสัมผัสกับน้ำเพราะน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้า...ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือกลางแจ้ง หากอยู่ในบ้าน อาคารห้ามใช้โทรศัพท์บ้านหรือเล่นอินเตอร์เน็ตขณะเกิดฟ้าฝนคะนองต้องดึงเสาอากาศของทีวีออกรวมทั้งถอดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดให้หมด” แล้วอย่าลืมเตรียมไฟฉาย กระเป๋าฉุกเฉินให้พร้อมในกรณีเกิดฝนตกหนักและไฟฟ้าอาจดับได้“ฟ้าผ่า” ในยุค “โลกร้อน” ไม่ใช่แค่เรื่องของสภาพอากาศเท่านั้น หากแต่สะท้อนถึงความผิดปกติของธรรมชาติที่กำลังส่งสัญญาณเตือนให้ “มนุษย์” เราตระหนักถึงผลกระทบจากการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย การตัดไม้ทำลายป่า และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไร้การควบคุมถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกัน “ลดภาวะโลกร้อน” โดยการใช้ “พลังงาน” อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนพลังงานสะอาด ลดการใช้ถุงพลาสติก หลีกเลี่ยงการเผาในที่โล่ง ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ในชุมชนของตนเอง...เพิ่มพื้นที่สีเขียว ฟ้าผ่าอาจเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่ผลกระทบของมันอาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล หากเราไม่ตื่นตัวและไม่เตรียม พร้อม เราอาจเป็นเหยื่อรายต่อไปของภัยธรรมชาติที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง “ภาวะโลกร้อน” ทำให้ภัยธรรมชาติเกิดถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และคาดเดาไม่ได้ฟ้าผ่าคือหนึ่งในนั้น...มันไม่ได้มาเพื่อขู่ แต่มาเพื่อ เตือนว่า “เราเหลือเวลาเท่าไร” ในการดูแลโลกใบนี้ “อย่ารอให้ฟ้าผ่า ใกล้ตัว...ถึงจะรู้ว่าโลกร้อนคือภัยที่จริงจัง”.­­­­­­­­­คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม