ช่วงหลายปีมานี้เราเริ่มปรากฏเห็น “การขยายตัวของธุรกิจจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลายด้าน” โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง “ทุนจีนบางกลุ่ม” เข้ามาลงทุนผ่านรูปแบบแฝงไม่เปิดเผยตัวตนด้วยการอาศัยกลไก “นอมินี” มีคนไทยใช้ชื่อจดทะเบียนเลี่ยงกฎหมายแทนทำให้ดูเหมือนว่า “บริษัทเป็นของคนไทยแต่เบื้องหลังคนจีนกลับเป็นเจ้าของ” ที่กำลังก่อปัญหาเชิงโครงสร้างการถูกควบคุมทั้งห่วงโซ่ “ตัดต้นทุนเพื่อเร่งกำไร” จนระบบคุ้มครองผู้บริโภคและมาตรฐานไทยอ่อนแอทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยถึงสาเหตุ “กรณีตึก สตง.ถล่มจากแผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค.2568” เนื่องจากบริษัทสัญชาติจีนได้ร่วมทุนรับผิดชอบการก่อสร้างจนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ต้องเข้ามาสืบสวนรับเป็นคดีพิเศษที่อาจมีการกระทำความผิดเข้าข่ายคดีนอมินี และออกหมายจับบุคคลสัญชาติจีนในฐานะกรรมการบริษัท ในข้อหาต่างด้าวประกอบธุรกิจต้องห้ามประกอบกิจการ หรือต้องได้รับอนุญาตก่อนตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และออกหมายจับกรรมการคนไทยเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง สำหรับปัญหานอมินีในไทยนั้น สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร บอกว่าตามที่มีการติดตาม “ธุรกิจจีนในไทยใช้นอมินีคนไทยถือหุ้นแทนนั้น” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปรากฏพบกลุ่มทุนจีนเข้ามาเพิ่มขึ้นมากมาย “ในธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และการรับเหมาก่อสร้าง” ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดเหตุตึก สตง.ถล่มด้วยซ้ำ เพียงแต่เหตุการณ์นี้เป็นตัวสะท้อนให้เห็นยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ชัดเจนขึ้นเพราะเมื่อเหตุการณ์ตึกถล่มก็ตรวจสอบถึงวัสดุก่อสร้างพบว่า “บางอย่างไม่ได้มาตรฐาน” โดยมีบริษัทจีนเข้ามารับเหมาก่อสร้างที่น่าเชื่อได้ว่า “เป็นการถือหุ้นของนอมินีโดยคนไทย” แล้วก็เชิญ ดีเอสไอ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สนง.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันเหล็ก ตัวแทนสภาวิศวกรรมสถานฯ มาให้ข้อมูลเบื้องต้นซึ่งทางดีเอสไอก็ยืนยันว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องบางส่วนน่าเชื่อว่า “เป็นการถือหุ้นโดยนอมินี” สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของยอดภูเขาน้ำแข็งที่ปรากฏออกมาในธุรกิจการรับเหมาก่อสร้างอันเป็นนอมินีเท่านั้นแต่ถ้าดูสถิติบริษัทไทยจดจัดตั้งโดยนอมินีจีนเพิ่มมากขึ้น อย่างปีที่แล้วปีเดียวตามข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า “มีบริษัทสัญชาติจีนถือหุ้นมากถึง 299 บริษัท” ที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบว่าเป็นนอมินีของจีนหรือไม่ แต่หากย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2563-2568 กลับมีอยู่ถึง 500-600 บริษัท อันเป็นตัวเลขไม่น้อยที่มีความอันตรายร้ายแรงยิ่งด้วยบริษัทธุรกิจเมื่อได้เริ่มต้น “เข้ามาแบบซิกแซ็กใช้นอมินีคนไทยตั้งบริษัทก็มักจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย” ทำให้มีแนวโน้มกระทำผิดกฎหมายอื่นต่อไปอย่างการจ่ายใต้โต๊ะ ฮั้วประมูล นำเข้าของผิดกฎหมาย และผลิตแบบไม่มีมาตรฐาน เช่น การใช้วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน การควบคุมงานก่อสร้างไม่มีมาตรฐาน แม้แต่วิศวกรก็นำเข้าอย่าง “ตึก สตง.ถล่มนั้นใช้เหล็กคุณภาพหรือไม่” เพราะที่ผ่านมาบริษัทจีนมาลงทุนผลิตเหล็กในไทยหลายแห่ง และบางส่วนใช้เตาหลอมแบบ Induction Furnace ระบบนี้ต่างประเทศยอมรับเชิงคุณภาพน้อย “แต่ไทยมีมาตรฐาน มอก.” แล้วเตาหลอมนี้ก่อมลพิษจนต่างชาติไม่ให้การยอมรับกับการผลิตแบบนี้ สิ่งนี้ล้วนเป็นพฤติกรรมที่เรียกว่า “รับเหมาก่อสร้าง 0 เหรียญ” โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญมักจะลดต้นทุนให้ต่ำที่สุดเพื่อเสนองานราคาถูกสำหรับคว้างานให้ได้ในการใช้วัสดุก่อสร้างราคาถูกไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย ดังนั้นเมื่อมีโครงการก่อสร้างอะไรก็มักจะซื้อวัสดุก่อสร้างจากร้านค้าคนจีนด้วยกันที่เป็นเครือข่ายตัวเองไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ท่อ กระเบื้องนำเข้าจากจีน หรือซื้อร้านจีนที่ตั้งในไทย “แรงงาน” ก็ใช้ต่างด้าวเพื่อลดต้นทุนแบบไม่ต้องคำนึงถึงมาตรฐาน ทำให้โครงการถูกใช้วัสดุคุณภาพต่ำในตลาดรับเหมากระจายไปหลายพื้นที่ยิ่งกว่านั้นทุนจีนยังขยายอิทธิพลมาสู่ “อสังหาริมทรัพย์ 0 เหรียญ” ใช้ช่องว่างกฎหมายผ่านคนไทยในนามบริษัทนอมินีแทรกแซงตลาดอสังหาริมทรัพย์ “สร้างบ้านขาย” ก็ใช้วัสดุก่อสร้างราคาถูกไม่มีมาตรฐานเช่นกันเหล่านี้อาจกระทบต่อภาพรวมความเชื่อมั่นต่อ “อสังหาริมทรัพย์ไทย” ที่เป็นปัญหาใหญ่ซ่อนอยู่ใต้พรมมานานนับแต่ทุนจีนทะลักเข้ามาทำให้ปัญหานี้เด่นชัดขึ้น อย่างไรก็ดีคงต้องให้ความเป็นธรรมกับคนจีนเข้ามาทำธุรกิจโดยทุจริตด้วยเช่นกัน เพราะเราไม่ได้หมายความว่าทุกบริษัทของจีนจะก่อปัญหาลักษณะนี้เหมือนกันทั้งหมดประเด็นคือ “รัฐบาล” ต้องปราบปรามจริงจังกับบริษัทนอมินี และธุรกิจ 0 เหรียญที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในไทย หากตรวจสอบปรากฏพบเป็นบริษัทนอมินีก็ต้องดำเนินตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นคนเหล่านี้อาจจะไปทำผิดกฎหมายอื่นๆ แทรกอยู่แทบในทุกภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการก่อสร้างเอาเปรียบคนไทยไปเรื่อยๆ แม้สมัยก่อนเรามักคิดว่า “กฎหมายที่มีไม่เพียงพอต่อการตรวจจับบริษัทนอมินีจีน” แต่พอกรณีเกิดโศกนาฏกรรมตึก สตง.ถล่มนั้น “นายกฯ” สั่งการตรวจสอบดำเนินการเอาจริงกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็สามารถทำได้ทันทีเพียงแต่ที่ผ่านมามีการปล่อยปละละเลยไม่เอาจริงจนทุนจีนเทาขยายอิทธิพลกลายเป็นธุรกิจ 0 เหรียญได้ทุกวันนี้นอกจากนี้ทุนจีนสีเทายังเข้ามา “ขยายอิทธิพลทำผิดกฎหมายอื่นๆ” อย่างเช่นในหลายกรณีที่ดีเอสไอจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือเว็บพนันออนไลน์ ล้วนแต่เป็นคนจีนมีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินมักจะพบการนำเงินไปลงทุนกับบ้านในโครงการหรู ด้วยการซื้อผ่านคนไทยที่เป็นนอมินีแทบทั้งสิ้นอย่างไรก็ดีตึก สตง.ถล่มยังสรุปไม่ได้ต้องให้ภาครัฐตรวจสอบสาเหตุให้ชัดก่อน แต่ในฐานะผู้บริโภคคาดหวังเห็นรัฐบาลตรวจการก่อสร้างอาคารต่างๆใช้วัสดุทั้งระบบสัมพันธ์กิจการนอมินี หรือกิจการ 0 เหรียญหรือไม่ปัญหามีอีกว่า “ทุนจีนในไทยบางส่วนสวมสิทธิ์สินค้าอื่น” จนคุณภาพสินค้าต่ำเป็นสาเหตุหนึ่งให้สหรัฐฯตั้งกำแพงภาษีไทย และแถมลุกลามไปธุรกิจโลจิสติกส์ “คนจีนใช้นอมินี” ตั้งบริษัทวิ่งขนส่งมากถึง 1 ใน 5 ของรถขนส่งทั่วประเทศ เช่นนี้รัฐบาลต้องส่งสัญญาณปราบปรามทุนจีนเทาจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำความผิดขึ้นอีก ในส่วน “สื่อมวลชนและประชาชน” ก็ต้องทำหน้าที่กระทุ้งเตือนฝ่ายบริหารไม่ให้หลงลืม เพราะตึก สตง.ถล่มนับเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ “หากยังตั้งต้นดำเนินคดีใครไม่ได้” ประเทศไทยคงเข้าสู่ภาวะความเป็นอันตรายฉะนั้นความสูญเสียจากตึก สตง.ถล่มเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหานอมินี–ธุรกิจรับเหมา 0 เหรียญจากจีนเทาร่วมมือกับไทยเทากำลังกัดกินประเทศ ถ้าไม่แก้ตั้งแต่ตอนนี้อนาคตจะแย่กว่าเดิม.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม