ฮือฮาจับจ้องกันไปทั่วโลก เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้การต้อนรับเลี้ยงรับรอง อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย และประธานอาเซียน ในระหว่างเดินทางเยือนไทย พร้อมชักชวน พล.อ.อาวุโสมิน อ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา มาร่วมวงหารือในครั้งนี้ด้วยวาระการหารือคาดว่า “เป็นการเจรจาสันติภาพ” โดยเฉพาะการเจรจาหยุดยิงระหว่างทหารเมียนมา และกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มต่อต้านในเครือข่ายรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ที่ยังคงเคลื่อนไหวสู้รบโจมตีตอบโต้กันอย่างต่อเนื่องใกล้ตามแนวชายแดนเมียนมา-ไทยนับตั้งแต่เกิดการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 เป็นต้นมา...ก่อเกิดการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินของพลเรือนมากมาย ส่งผลต่อความมีเสถียรภาพการพัฒนาในระดับภูมิภาคจนประธานอาเซียนลงมาสร้างสันติภาพนำมาสู่การเปิดเวทีพูดคุย 3 ฝ่ายนี้ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มองว่า นับตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย.2568 “ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมบิมสเทค” ที่ได้เชิญมิน อ่องหล่าย มาเข้าร่วมประชุมในฐานะสมาชิก ก็ทำให้คนต่างจับตา และวิพากษ์วิจารณ์มากพอสมควร แต่พอคราวนี้ อันวาร์ อิบราฮิม ก็ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างมาเลเซีย-ไทยในหลายประเด็นแล้วช่วงบ่ายอันวาร์ อิบราฮิม, ทักษิณและมิน อ่องหล่าย ก็นัดร่วมหารือกันแบบวงปิดที่โรงแรมแห่งหนึ่งแสดงให้เห็นว่า “ผู้นำมาเลเซียยอมรับกับมิน อ่องหล่าย” นับเป็นโอกาสดีบางแง่มุมในการใช้กลไกอาเซียนแบบไม่เป็นทางการในการพูดคุยสันติภาพในเมียนมา เพราะมิน อ่องหล่าย ยังเป็นศูนย์กลางอำนาจในรัฐบาลเมียนมาอยู่แล้วการที่ “ประธานอาเซียนพบกับมิน อ่องหล่าย” ก็ถือว่าเป็นสัญญาณดีที่ใช้เวทีการประชุมลับนี้ให้เกิดประโยชน์ที่อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงการแก้ปัญหาความรุนแรงในเมียนมาก็ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดแล้วว่าความขัดแย้งในเมียนมานั้น “กลุ่มประเทศในอาเซียน” ต่างก็มีความเห็นแตกกันออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่สามารถแยกออกเป็น “กลุ่มพิพาทไม่ยอมรับกับการรัฐประหาร” ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นสมุทรอย่างเช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ “กลุ่มพิพาทน้อย” มักจะอยู่ในพื้นทวีปไม่ว่าจะเป็น ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เลือกที่จะไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อวิกฤตการณ์ในเมียนมาแต่คราวนี้ “มาเลเซียที่มีปฏิสัมพันธ์กับอินโดนีเซียกลับเปลี่ยนท่าที” โดยเริ่มมีบทบาทในการเข้ามาเจรจาพูดคุยในกระบวนการเพื่อสร้างสันติภาพในเมียนมามากยิ่งขึ้น แล้วยังสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มประเทศในอาเซียนที่เคยแตกความเห็นต่างกันกับมิน อ่องหล่าย เริ่มก่อเกิดการเชื่อมกลมเกลียวต่อกันได้มากขึ้น สำหรับแง่มุมที่ต้องระมัดระวังคือ “การเป็นข่าวพบปะกับมิน อ่องหล่ายมากเกินไป” อาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประธานอาเซียน และที่ปรึกษาประธานอาเซียน รวมถึงประเทศไทยที่จะเป็นการยอมรับรับรองมิน อ่องหล่าย ฝ่ายเผด็จการมากไป ทำให้การเจรจากับ NUG อันเป็นฝ่ายรัฐบาลประชาธิปไตยทำได้ลำบากมากขึ้นก็ได้ทว่าในมุมส่วนตัวมองว่า “รัฐบาลไทย หรือรัฐบาลมาเลเซีย” ซึ่งมีมูลเชื้อมาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย “กลับไม่สนับสนุน รัฐบาลประชาธิปไตยในเมียนมา” สังเกตจากภาพที่ออกมาเน้นพูดคุยกับฝ่ายเผด็จการทางทหารโดยใช้คอนเนกชันของท่านทักษิณที่มีต่อท่านอันวาร์ อิบราฮิม และมิน อ่องหล่าย แทบทั้งสิ้นดังนั้นสร้างสมดุลความเป็นกลาง “ไม่ให้ภาพพูดคุยเอนเอียงฝ่ายใดเกินไป” การพบปะพูดคุยกันแบบลับๆ ไม่แถลงสารัตถะรายละเอียดอะไรมากก็พอประคับประคองค้านกระแสโจมตีว่าไทยต้อนรับฝ่ายเผด็จการได้เช่นนี้ช่วงเริ่มต้น “รัฐบาลไทยควรพูดคุยเพื่อสร้างสันติภาพในเมียนมา” อันเป็นลักษณะการทูตกึ่งไม่เป็นทางการลับๆแบบนี้ไปก่อน เพื่อให้เป็นที่ไว้ใจของทุกฝ่ายแล้วเท่าที่ทราบ “ท่านทักษิณ” ก่อนหน้านี้ก็เคยไปพูดคุยกับผู้แทนชนกลุ่มน้อยตามตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมาอยู่บ้างเพียงแต่ภาพยังไม่ปรากฏผ่านสื่อที่ชัดเจน จริงๆแล้ว “การสร้างสันติภาพในเมียนมา” กลุ่มอาเซียน และฝ่ายไทยพยายามเจรจากับหลายฝ่ายมาตลอด แต่เป็นรูปแบบการคุยผ่าน “คอนเนกชันในเชิงลับ” ทำให้ไม่เกิดเป้าหมายการสร้างสันติภาพแท้จริงเมื่อเป็นแบบนี้ “การสร้างสันติภาพต้องสร้างโรดแมปให้ชัดเจน” ด้วยการระบุแผนดำเนินงานแต่ละช่วงเวลา เช่น ภายในระยะเวลา 3 เดือน จะต้องดำเนินการเรื่องใดบ้าง “มิน อ่องหล่าย” ก็ต้องทำตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม มิเช่นนั้นสถานการณ์การสู้รบก็ยังดำเนินต่อแบบนี้ไปเรื่อยๆยิ่งทำให้ก่อเกิดกองกำลังติดอาวุธ “แยกย่อยออกเป็นหลายกลุ่ม” ส่งผลให้การค้าขาย และการพัฒนาความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาทำได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าบริการผ่านทางหลวงเอเชีย AH1 เข้าไปตอนในเมียนมายังจะมีการสู้รบกันระหว่างทหารเมียนมา และฝ่ายต่อต้าน สกัดเส้นทางนี้อยู่ตลอด ตอกย้ำว่า “บทบาทของไทยในการสร้างสันติภาพเมียนมานั้น” ต้องวางตัวเป็นผู้ส่งเสริมสร้างสันติภาพเน้นยึดผลประโยชน์ทางชายแดนไทยเป็นตัวตั้ง โดยเฉพาะจุดที่มีการสู้รบอาจต้องใช้การเจรจาระดับพื้นที่ ด้วยการเชิญตัวแทนทหารเมียนมา และกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่ม NUG มานั่งพูดคุยในวงสันติภาพย่อยๆไปก่อนได้ส่วนการพูดคุยสันติภาพระดับวงใหญ่ “ประเทศไทย” ยังสามารถแสดงความเห็นให้ทุกฝ่ายหยุดยิงก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ในเมียนมาในช่วงเดือน ธ.ค.2568 หรือเดือน ม.ค.2569 ตามที่มิน อ่องหล่าย เคยประกาศจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงนั้น เพื่อให้ฝ่ายคู่พิพาทลดความขัดแย้งต่อกันอันจะนำไปสู่การเลือกตั้งที่ชอบธรรมยิ่งขึ้นฉะนั้นแน่นอนว่าอันวาร์ อิบราฮิม ต้องวางให้ไทยเป็นจิ๊กซอว์ในการคลี่คลายปมความขัดแย้งในเมียนมา ในฐานะของประเทศเพื่อนบ้านมีพรมแดนติดต่อกันทำให้เราต้องขยับบทบาทสร้างความสัมพันธ์ กับมาเลเซียเพื่อจะเกี่ยวก้อยขอความร่วมมือช่วยแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ควบคู่กับการสร้างสันติภาพในเมียนมาไปด้วยแต่ว่างานการพัฒนาสันติภาพในเมียนมา “มีตัวแสดงคู่ขัดแย้งค่อนข้างเยอะ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มความขัดแย้งในสงครามกลางเมือง ด้วยเหตุนี้เมื่อประธานอาเซียน และท่านที่ปรึกษาฯ พบกับ มิน อ่องหล่ายแล้วก็ควรต้องเข้าหารือกับ NUG ด้วย และในอนาคตก็คาดหวังว่าจะไปหารือร่วมกับตัวแทนคู่ขัดแย้งกลุ่มอื่นๆเช่นกันนี่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ดี “ในกระบวนการสร้างสันติภาพในเมียนมา” ที่ประเทศไทยมีบทบาทเชิงรุก หาทางออกของวิกฤติที่ยืดเยื้อมากว่า4 ปีจนเป็นประเด็นให้หลายฝ่ายจับจ้องกันมากตอนนี้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม