ฝีมือไม่ธรรมดาแน่นอน!! ขนาดเคยบริหารเงินทองให้พ่อมดการเงินอย่าง “จอร์จ โซรอส” มาแล้ว เมื่อมานั่งเป็นขุนคลังของอเมริกา “สก็อตต์ เบสเซนต์” (Scott Bessent) ก็พิสูจน์ว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” โชคดีขนาดไหนที่มีรัฐมนตรีคลังชื่อเบสเซนต์ มิฉะนั้นอเมริกาคงหายนะไปแล้ว จากการประกาศสงครามภาษีของทรัมป์ ที่ลากตลาดทุนทั้งโลกดิ่งเหวไม่เป็นท่า“มันไม่สำคัญว่าคุณถูกหรือผิด มันสำคัญตรงที่ว่าคุณทำเงินได้เท่าไหร่ตอนที่คุณถูก และเสียเงินไปเท่าไหร่ตอนที่คุณผิด” คนส่วนใหญ่มักมองว่า พ่อมดการเงิน “จอร์จ โซรอส” เป็นนักเก็งกำไรที่กล้าได้กล้าเสีย และชอบเสี่ยงเป็นชีวิตจิตใจ แต่เจาะลึกแล้วคติใหญ่ในชีวิตของเขาคือ “อยู่ให้รอดก่อน แล้วค่อยทำกำไร” โดยให้ความสำคัญอย่างมากกับการรักษาเงินต้น และยอมรับความผิดพลาดตั้งแต่แรก คำว่า High Risk High Return เสี่ยงมากกำไรสูง จึงไม่มีอยู่ในพจนานุกรมทฤษฎีการลงทุนลือลั่นสุดของ “จอร์จ โซรอส” คือ “Reflexivity” การสะท้อนกลับไปมา เขาเชื่อว่าจุดดุลยภาพของตลาดมีไว้แค่เป็นจุดอ้างอิง แต่จริงๆแล้วทุกสิ่งในโลกไม่เคยมีความสมดุล รวมถึงตลาดหุ้น หน้าที่ของเราคือการหาโอกาสเวลาที่ราคาหุ้นและสินทรัพย์ต่างๆได้วิ่งออกจากจุดดุลยภาพไปอย่างมาก แล้วพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการเอาชนะกลไกความโลภและความกลัวของมวลชนอ่านโซรอสให้ออก แล้วจะเข้าใจวิธีคิดของ “สก็อตต์ เบสเซนต์” ไปด้วย เพราะเขาซี้กัน!! รัฐมนตรีคลังคนนี้ร่ำรวยจากการเป็นผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ หลังจบมหาวิทยาลัยเยล เขาเริ่มงานแรกด้วยการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักเทรดที่หน่วยงานด้านการลงทุนในบริษัทแห่งหนึ่งของครอบครัวมหาเศรษฐีซาอุฯ ก่อนจะไปฝึกงานกับ “จิม โรเจอร์ส” เจ้าของฉายาอินเดียนาโจนส์วงการการเงิน จากนั้นเข้าทำงานที่ “โซรอส ฟันด์ แมเนจเมนต์” และอยู่ยาวตลอดทศวรรษ 1990 เมื่อถูกโปรโมตให้ไปคุมสำนักงานในกรุงลอนดอน เขาสร้างผลงานชิ้นโบแดง ทำเงินให้โซรอสมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการโจมตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ เมื่อปี 1992 ยุคนั้นโซรอสโด่งดังในฐานะพ่อมดการเงินผู้ทำลายธนาคารกลางอังกฤษ บีบให้สกุลเงินปอนด์ต้องยกเลิกการผูกค่าเงินกับเงินยูโร เขายังหาช่องทำกำไรก้อนโตให้โซรอสจากการโจมตีค่าเงินเยน ในปี 2013 ภายหลังในปี 2015 “เบสเซนต์” ได้ออกมาก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเป็นของตัวเอง เน้นการลงทุนแบบเศรษฐกิจมหภาค ใช้ชื่อว่า “คีย์ สแควร์ กรุ๊ป” โดยรับเงินทุนสนับสนุนจากโซรอส 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลา 2 ปี บริษัทของเขาสร้างความมั่งคั่งได้ 5,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯตั้งแต่ช่วงหาเสียงสมัยสอง “ทรัมป์” ก็ชักชวน “เบสเซนต์” มาเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ และหัวหน้าทีมระดมทุนหาเสียง นอกจากฝีไม้ลายมือฉมังแล้ว “เบสเซนต์” ยังเรียกเสียงฮือฮาจากการเปิดตัวว่าเป็นเกย์ สร้างสถิติรัฐมนตรีคลังคนแรกของอเมริกาที่เป็น LGBT เปิดเผย โดยเขาแต่งงานกับอดีตอัยการรัฐนิวยอร์ก และมีลูกด้วยกัน 2 คน “เบสเซนต์” ให้สัมภาษณ์ว่า เขาต้องการรับใช้ชาติมาตลอด แต่ในช่วงทศวรรษ 1980 ประเด็นเรื่องรสนิยมทางเพศเป็นอุปสรรค ทำให้เขาอดเข้าโรงเรียนนายเรือสหรัฐฯ และพลาดการเข้าทำงานในกระทรวงต่างประเทศ ทั้งๆที่เรียนจบรัฐศาสตร์โดยตรงจากมหาวิทยาลัยเยลเขาสนใจเรื่องการเมืองมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2000 เคยเป็นหัวหน้าทีมระดมทุนหาเสียงของ “อัล กอร์” ในนิวยอร์ก เป็นผู้บริจาคตัวยงของ “ฮิลลารี คลินตัน” และ “บารัค โอบามา” กระนั้น ในปี 2016 เขาหันมาทุ่มเงินบริจาคให้ตัวพ่อของพรรครีพับลิกันอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยอัดฉีดเงินให้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และบริจาคต่อเนื่องในการรณรงค์หาเสียงสมัยที่สองของทรัมป์ พร้อมเป็นหัวหน้าทีมระดมทุนให้ทรัมป์ในหลายพื้นที่ เช่น กรีนวิลล์ รัฐเซาท์แคโรไลนา เรี่ยไรเงินได้ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปาล์มบีช รัฐฟลอริดา หาเงินให้ทรัมป์ได้ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเจาะลึกนโยบายของรัฐมนตรีคลังคนใหม่ วัย 62 ปี ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินมาก และสนับสนุนเงินคริปโต เพื่อดึงดูดนักลงทุนรุ่นใหม่เข้าตลาด เขายังสนับสนุนการต่ออายุนโยบายลดภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล พร้อมหนุนให้ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือเจรจาการค้า โดยปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อคุมค่าเงินดอลลาร์ไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป และลดความเสี่ยงเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเร็ว ในเรื่องของหนี้สาธารณะ เขาย้ำถึงการลดการขาดดุลงบประมาณ ผ่านการควบคุมค่าใช้จ่ายของรัฐท่ามกลางนโยบายสุดโต่งของทรัมป์ หวังว่า “สก็อตต์ เบสเซนต์” จะเป็น “เซฟทีคัต” ทำหน้าที่ตัดก่อนตาย...เตือนก่อนวายวอด ไม่ปล่อยให้ทรัมป์มุทะลุบ้าบิ่นจนเกิดหายนะไปทั้งโลก.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม