โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% มีผลตั้งแต่อังคารที่ 4 มีนาคม 2568 และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% เป็น 20% เปิดศึกสงครามการค้ารอบใหม่ แต่ก็ไม่มีใครกลัวสหรัฐฯ จัสติน ทรูโด นายกฯแคนาดา ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 25% ตอบโต้ทันที มีผล 4 มีนาคมเช่นเดียวกัน จากมูลค่านำเข้า 107,000 ล้านดอลลาร์ จีนก็ขึ้นภาษีสหรัฐฯตอบโต้เช่นกัน แต่ขึ้นเพียง 15% โดยเน้นสินค้าเกษตรเป็นหลัก เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง มีผล 4 มีนาคม ใน 3 ประเทศนี้ สหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกมากที่สุด รองมาเป็นจีนและแคนาดาจีนเน้นการขึ้นภาษีสินค้าเกษตร เพราะเกษตรกรเป็นหัวใจหลักของสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ส่วน แคนาดาเน้นไปที่สินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น พาสต้า เสื้อผ้า น้ำหอมทันทีที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก จีน ราคาหุ้นในสหรัฐฯก็ดิ่งลงทันที ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วงลึกลงไปถึง 800 จุด ก่อนกลับขึ้นมาปิดที่ติดลบกว่า 649 จุด ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พีก็ติดลบไปกว่า 100 จุด ดัชนีหุ้นแนสแด็กก็ติดลบไปกว่า 497 จุด เสียหายไปไม่รู้กี่แสนล้านดอลลาร์ในวันเดียว หุ้นที่ร่วงหนักที่สุดคือ Nvidia บริษัทผลิตชิปเอไอยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ราคาร่วงไปวันเดียวกว่า 265,000 ล้านดอลลาร์ กว่า 9 ล้านล้านบาท จากมาร์เกตแคปกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ เหลือ 2.79 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะชิปเอไอที่ซับซ้อนและชิปคอมพิวเตอร์ของเอ็นวิเดีย ส่วนหนึ่งมีฐานผลิตที่เม็กซิโก เมื่อทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากเม็กซิโก 25% เอ็นวิเดียก็โดนด้วยนี่คือ “ผลสะท้อนกลับ” ที่จะ สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างมหาศาล ยังไม่นับ ความเดือดร้อนของชาวอเมริกันกว่า 340 ล้านคน ที่ต้องซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันแพงขึ้นอย่างน้อย 2.0-25% เรียกว่าเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าคุณสรา ชื่นโชคสันต์ รองผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหาภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เขียนบทความวิเคราะห์ “นโยบาย Trump 20 : ดาบสองคมต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ” เมื่อ 27 ก.พ. ไว้น่าสนใจยิ่ง ผมขออนุญาตนำบางส่วนมาเผยแพร่เป็นความรู้ดังนี้“...เศรษฐกิจสหรัฐฯมีขนาดใหญ่ ประมาณ 29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีสัดส่วนการบริโภคภาคเอกชนสูงถึง 2 ใน 3 ของจีดีพีถือเป็นผู้บริโภคหลักของโลก ขณะที่ เศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง ประมาณ 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นผู้ผลิตหลัก ของโลก เมื่อผู้บริโภคเบอร์ 1 ทะเลาะกับผู้ผลิตเบอร์ 1 ของโลก คำถามที่สำคัญคือ ใครจะมาเป็นผู้ผลิตแทนจีนให้แก่ผู้บริโภคสหรัฐฯ และใครจะมาเป็นผู้บริโภคสินค้าที่จีนผลิตแทนสหรัฐฯ จีนถือเป็นผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง มีต้นทุนการผลิตตํ่า มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เช่น การขึ้นภาษีกับจีน จึงเปรียบเสมือนการตัดสหรัฐฯออกจากการเข้าถึงแหล่งการผลิตสินค้าและวัตถุดิบที่มีต้นทุนถูกเพราะไม่ว่าจะนำเข้าจากจีนแล้วโดนเก็บภาษี หรือนำเข้าจากประเทศอื่นที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าจีน หรือผลิตด้วยตัวสหรัฐฯเอง ล้วนทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทรัพยากรการผลิตของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจำนวนแรงงานก็มีแนวโน้มจะถูกจำกัดด้วยมาตรการกีดกันแรงงานต่างด้าว ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์โดยการลดภาษี จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเงินเฟ้ออีกครั้ง เนื่องจาก มีการกระตุ้นให้ซื้อของมากขึ้น (มาตรการลดภาษี) ในจังหวะที่ต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น (เก็บภาษีนำเข้า) และ แรงงานก็หายากขึ้น (กีดกันแรงงานต่างด้าว)...”ในที่สุด สหรัฐฯอาจเป็นประเทศเดียวในโลกที่ต้องเผชิญกับ “ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง” ที่เกิดจากนโยบายของทรัมป์เอง เรียกว่ากรรมตามทัน ทรัมป์ขึ้นภาษีหวังทำลายประเทศอื่น แต่ดาบนี้คืนสนองย้อนมาทำลายเศรษฐกิจสหรัฐฯเสียเอง เขียนถึงอเมริกันทีไรก็ให้นึกถึงนวนิยายเรื่อง The Ugly American ทุกที.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม