จากการที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ลงนามในคำสั่งสำนักนายกฯ และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (แบบ ป.12) ชั่วคราว เป็นเวลา 1 ปี โดยเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.68น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย ออกมาระบุว่า การออกคำสั่งดังกล่าวเนื่องจาก ปัจจุบันมีกลุ่มคนจำนวนมากลักลอบพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ และมีพฤติการณ์แสดงอาวุธปืนโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งหลายกรณีเป็นต้นเหตุของการกระทำความผิดทางอาญาทำให้ประชาชนได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และจิตใจ จึงต้องมีมาตรการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยสาธารณะ โดยควบคุมไม่ให้อนุญาตให้มีการพกพาอาวุธปืนเพื่อลดการเกิดความรุนแรงหรืออาชญากรรมต่างๆ เน้นอธิบายให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะลดเหตุร้ายรุนแรงจากการพกอาวุธปืนอย่างไรก็ตาม องค์กร Small Arms Survey สวิตเซอร์แลนด์ ได้วิจัยข้อมูลการครอบครองปืนของพลเรือน เมื่อปี 60 พบประเทศไทยมีปืนที่อยู่ในครอบครองของพลเรือน 10ล้านกว่ากระบอก มีทะเบียน 6 ล้านกว่ากระบอก ไม่มีทะเบียน 4 ล้านกว่ากระบอก ขณะที่ข้อมูลของตำรวจระบุว่าปี 59-62 มีคดีอาญาที่เกิดจากปืนมีทะเบียน 25,034 คดี และปืนไม่มีทะเบียน 91,376 คดีชี้ให้เห็นว่ามีการใช้อาวุธปืนที่มี ทะเบียนก่อคดีอาญาจำนวนมาก แต่ก็ยังน้อยกว่าการใช้อาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียนหรือ ปืนเถื่อนมาก่อคดีที่มีสถิติมากกว่าถึง 4 เท่าตัว ดังนั้น การที่รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยออกมาตรการควบคุมการพกพาอาวุธปืน โดยห้ามไม่ให้นายทะเบียนออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปีเพื่อต้องการลดปัญหาการพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองและพื้นที่สาธารณะ ที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุร้ายและอาชญากรรม ต่างๆ จึงเป็นการตอบโจทย์แค่ส่วนเดียว เพราะการอนุญาตพกพาอาวุธปืนจำกัดไว้เฉพาะปืนมีทะเบียนที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ โดยถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับปืนเถื่อน 4 ล้านกว่ากระบอกดังนั้น ถ้ารัฐบาลต้องการลดอาชญากรรมความรุนแรงจากการพกพาอาวุธปืนก็ต้องมีการเพิ่มโทษ และปราบปราม ปืนเถื่อนอย่างเข้มงวดจริงจังควบคู่ไปด้วย เพราะอาชญากรส่วนใหญ่มักใช้ปืนเถื่อนในการก่อคดี ทำให้มีคำถามว่าตำรวจและฝ่ายปกครองทำหน้าที่ปราบปรามปืนเถื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงใด ทำไม ปืนเถื่อนยังเกลื่อนเมือง.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม