ประธานสภาผู้แทนราษฎร วันมูหะมัดนอร์ มะทา ให้สัมภาษณ์สื่อถึงข้อกังวล ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่บรรจุไว้ในวาระการประชุมวันที่ 13-14 ก.พ. จำนวนสองญัตติ คือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชนและคณะเป็นผู้เสนอ และญัตติที่ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พรรคเพื่อไทยและคณะเสนอ จากการหารือกับ วิปสามฝ่าย (ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล สว.) และผู้แทน จากรัฐบาล วางกรอบการพิจารณาเอาไว้ว่าจะมีการใช้เวลาพิจารณา 19 ชั่วโมง ส่วนจะมีการเสนอให้มีการตีความเรื่องของการทำประชามติก่อนการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ต้องเป็นไปตามหลักการ คือจะต้องมีสมาชิกเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 40 คนเสนอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะสามารถเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเลยได้หรือไม่ โดยต้องผ่านขั้นตอนการหารือของที่ประชุมร่วมสองสภาหากเสียงข้างมากเห็นว่าจะให้ส่งตีความก่อน ประธานสภาผู้แทนฯก็จะดำเนินการตามมติที่ประชุมการประชุมในวาระแรก ในชั้นรับหลักการต้องมีเสียงข้างมากเห็นชอบ 1 ใน 3 ถ้าที่ประชุมมีเสียงที่ไม่เห็นด้วยเกินกว่า 1 ใน 3 ถือว่าญัตติตกไปตั้งแต่วาระแรกไม่ต้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ถ้าผ่านวาระแรกก็ต้องส่งให้ กกต.ทำประชามติ เห็นชอบกับการแก้รัฐธรรมนูญ ม.256 หรือไม่ถ้าได้รับการเห็นชอบจากประชาชนก็เดินหน้าต่อ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ยุติทั้งหมด ไม่ต้องไปเสียงบประมาณทำประชามติหลายรอบ การทำประชามติในแต่ละครั้งใช้เงินกว่า 3 พันล้านบาท สามารถเอางบประมาณจำนวนนี้ไปทำประโยชน์อื่นได้ตั้งเยอะประโยคเด็ดของประธานสภาในตอนท้าย เป็นกรณีศึกษาที่ควรจะทบทวน การเรียกร้องประชาธิปไตยเต็มใบของประเทศไทย ที่มีการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงในฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะกฎหมายการเลือกตั้ง กฎหมายที่เกี่ยวกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ประชาชนกินไม่ได้ประชาธิปไตยไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปี 2475 จนปี 2568 ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงให้เห็นว่า ประชาธิปไตยเต็มใบ ประชาชนก็ยังโง่ จน เจ็บ เรามีรัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้น 20 ฉบับ แซงหน้าประเทศต้นกำเนิดประชาธิปไตยชนิดไม่เห็นฝุ่น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ใช้มาแล้ว 8 ปี ในขณะเดียวกันเรามีการปฏิวัติรัฐประหารมาแล้ว 13 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 การทำรัฐประหารสำเร็จ เป็นอันดับ 2 ของโลกคือสำเร็จ 9 ครั้ง จาก 13 ครั้ง หรือร้อยละ 69.23 ในขณะที่อันดับ 1 คือประเทศ โบลิเวีย รัฐประหาร 23 ครั้ง สำเร็จ 11 ครั้ง หรือร้อยละ 47.83 ตามสถิติถือว่าการทำรัฐประหารในไทยมีโอกาสประสบความสำเร็จมากการเมืองการปกครองในบ้านเรากำลังหลงทาง กำลังสำลักประชาธิปไตย สภาพภูมิรัฐศาสตร์สิงคโปร์ หรือมาเลเซียเทียบไทยไม่ติด แต่มีการพัฒนากว่าบ้านเราในทุกด้าน ข้ามเขตแดนการแก้รัฐธรรมนูญและรัฐประหารไปนานแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะมีกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญที่ดีกว่า มากกว่า แต่มีทรัพยากรบุคคลที่มี Mindset ที่ดีกว่า.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.th คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม