น.1 แถลงจับ 2 จีนเทาตัวเบ้งแก๊งคอลเชื่อมโยงฐานที่มั่นตึก 20 ชั้นในชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้านด้านตะวันออกคาบ้านหรูย่านเสนานิเวศน์ที่เช่าเป็นเซฟเฮาส์เดือนละ 1 แสนกว่าบาท แฉแผนประทุษกรรม ทั้งคู่จะให้สมุนเปิดเพจเฟซบุ๊กปลอมเป็นหน่วยงานตำรวจหรือ ปปง.หลอกซ้ำเหยื่อ โดยใช้ข้อความระบุ “ติดตามทรัพย์สินที่ถูกหลอกคืน” และศูนย์ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมต่างๆ รวมถึงนำรูป ผบ.ตร.ไปใช้เพิ่มความน่าเชื่อถือ ก่อนชุดสืบสวน “รองจ๋อ-สารวัตรแจ๊ะ” จะแกะรอยตามจับได้พร้อมยึดของกลางมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทตำรวจนครบาลจับ 2 จีนเทาตัวเป้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ก.พ. พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รรท.รอง ผบช.น. รองหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ศปอส.ตร. พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย รรท.ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.อาทร ชิ้นทอง รรท.ผบก.ศูนย์ฝึกอบรมกลาง ศปอส.ตร. พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. รองหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ศปอส.ตร. พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. จนท.วิเคราะห์ข้อมูล ศปอส.ตร. พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. และ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.นำกำลังจับกุมนายยี วานโยว อายุ 29 ปี และนายลี่ เว่ยเจีย อายุ 30 ปี ชาวจีนทั้งคู่ ตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 5 ก.พ.68 ข้อหา “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆเพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือยืมบัญชีเงินฝากหรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และเป็นธุระจัดหาโฆษณา หรือไขข่าวใดๆ เพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือให้ยืมหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้ในนามของบุคคลหนึ่งแต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้” จับ นายยี วานโยว ได้ที่หน้าหมู่บ้านพาทิโอ รัชโยธิน ซ.พหลโยธิน 32 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. ต่อเนื่องไปจับกุมนายลี่ เว่ยเจีย ได้ที่บ้านเลขที่ 594/29 ซ.พหลโยธิน 32 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม.พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. กล่าวว่า ช่วงเดือน ก.ค.67 มีผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.สมเจตน์ พลเหลา สว. (สอบสวน) สน.หัวหมาก ว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก ต่อมาฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก และสืบนครบาลสืบสวนขยายผลสอบปากคำพยานปากสำคัญที่บริเวณชายแดนได้หลายปาก พยานทั้งหมดได้ยืนยันว่ามีตัวการใหญ่คือ 2 ผู้ต้องหาชาวจีนที่จับกุมได้ในวันนี้ ถือเป็นระดับหัวหน้าขบวนการที่คอยควบคุมและสั่งการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออก เชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในตึก 20 ชั้นผบช.น.กล่าวว่า จากการสืบสวนทั้งคู่จะให้ลูกน้องในเครือข่ายเปิดเพจ Facebook โดยแผนประทุษกรรมกลุ่มคนร้ายจะใช้วิธีหลอกเหยื่อที่ถูกหลอกและเข้าแจ้งความแล้วจะเปิดเพจหน่วยงานตำรวจ และ ปปง. พร้อมคีย์เวิร์ดว่า “ติดตามทรัพย์สินที่ถูกหลอกคืน” และ “ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมต่างๆ” พร้อมทั้งยิงแอดโฆษณาปั่นยอดไลค์ รวมถึงนำรูปโปรไฟล์ ผบ.ตร.ไปใช้ให้มีความน่าเชื่อถือ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อกรอกข้อมูลเข้าไปเป็นการหลอกซ้ำเมื่อเหยื่อติดต่อไปจะพาเข้ากลุ่มไลน์ที่จะมีทนาย ผู้เชี่ยวชาญ หัวหน้าฝ่ายไอทีต่างๆสร้างชาร์ตเส้นทางการเงินให้เหยื่อดู อ้างว่าเงินที่ถูกหลอกไหลไปสู่เว็บพนันในต่างประเทศ ต้องให้ฝ่ายไอทียิงระบบนำเงินคืนมาพล.ต.ท.สยามกล่าวอีกว่า การสืบสวนยังพบว่าผู้ต้องหาทั้งสองได้ข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อไปสั่งการงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้วจะข้ามกลับมาที่ประเทศไทย มากบดานเช่าบ้านในซอยพหลโยธิน 32 เป็น safe house จากข้อมูลพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีราคากว่า 15 ล้านบาท แต่ผู้ต้องหาทั้งสองเช่าอาศัยเดือนละ 100,000 กว่าบาท จนกระทั่งวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 พร้อมของกลาง เงินสดไทยและต่างประเทศประมาณ 417,546.67 บาท ของแบรนด์เนมจำนวนมากมูลค่ากว่า 4,305,846 บาท รถยนต์ Benz Maybach S580e ราคาประมาณ 11,000,000 บาท โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง มีข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 15,305,846 บาทพล.ต.ท.สยามกล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนทรัพย์สินที่ตำรวจตรวจยึดอายัดได้หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวน การเฉลี่ยทรัพย์สินเพื่อเยียวยาคืนแก่ผู้เสียหายตามขั้นตอนทางกฎหมาย ที่สำคัญ ผบ.ตร.สั่งการมาแล้วว่า ให้ทุกสถานีตำรวจในท้องที่ไม่ว่าจะเป็นนครบาลหรือภูธร ตรวจสอบชาวต่างชาติที่มาประกอบธุรกิจในประเทศไทยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนท้องที่นครบาลสั่งการให้ทุก สน.ขยายผลทุกคดีที่แจ้งความเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทั้งหมดอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่