กว่าจะลงมือได้ก็ต้องลุ้นกันนานพอสมควรเพราะต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมา ที่สุด สมช.ก็มีมติให้ดำเนินการ 3 ประเด็นด้วยการให้ตัดไฟ ตัดน้ำมันและอินเตอร์เน็ตที่ไทยส่งไปเมียนมา5 จุดซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนระหว่างไทย-เมียนมา โดย กฟภ.ได้ดำเนินการเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งนี้ ก็เพื่อไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำงานได้ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คือการที่ กฟภ.ไม่ยอมตัดไฟอ้างว่าต้องไปรับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี หรือ สมช.แม้จะมีอำนาจก็ตามทำให้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเกิดปัญหากับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทยเพราะ “อนุทิน” อ้างว่าจะต้องได้รับคำสั่งจึงจะดำเนินการ อีกฝ่ายบอกว่ามีอำนาจอยู่แล้วทำไมไม่ทำเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศคนดูทั่วไปก็มองว่าเกิดปัญหาขัดแย้งอะไรกันหรือ?ความจริงเป็นเรื่องของผลที่จะตามมามากกว่าเพราะ กฟภ.หากไม่มีคำสั่งแล้วดำเนินการไปต้องรับผิดชอบเอง อันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เกี่ยวกับสัญญาที่ทำกันไว้และความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมาหากตัดไฟจะทำให้เสียรายได้ปีละ 600 ล้านบาท และถ้าถูกฟ้องร้องขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบเอง แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีโดยฝ่ายความมั่นคงการันตีอย่างนี้ก็รับผิดชอบไปปัญหามันอยู่ตรงนี้...เผอิญที่ว่าต่างฝ่ายอยู่คนละพรรคก็เลยถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมือง ยิ่งตรงกับเรื่องแพ้-ชนะเลือกตั้งนายก อบจ.ก็เลยเหมารวมว่าเป็นการแก้แค้นทางการเมืองไปโน่นความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและเป็นอาชญากรทางเศรษฐกิจเพราะทำให้เศรษฐกิจเสียหาย เสียภาพลักษณ์ ของประเทศไม่ใช่เรื่องไทยเท่านั้นแต่เป็นเรื่องระดับโลกเลยทีเดียว!การตัดสินใจครั้งนี้ได้รับการชื่นชมจากประชาชนว่าตัดสินใจได้ถูกต้องก็ได้คะแนนไปทั้งรัฐบาล แม้ “เพื่อไทย” จะได้มากกว่าแต่ “ภูมิใจไทย” ก็ได้เหมือนกันเนื่องจากมีความรอบคอบรัดกุมว่ากันโดยรวมแล้วรัฐบาลเสียคะแนนมากกว่าเพราะทำงานล่าช้าทั้งๆที่เป็นปัญหาใหญ่ จนรัฐบาลจีนต้องส่งคนระดับรัฐมนตรีมาช่วยแก้ไขให้จากนั้นก็ต้องติดตามและประเมินผลมาตรการที่ดำเนินการไปแล้วนั้นจะได้ผลแค่ไหน แก้ปัญหาได้จริงหรือไม่เพราะฝ่ายที่กระทำผิดก็แก้ลำด้วยการเตรียมเครื่องปั่นไฟและไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์รวมถึงการขอซื้อไฟฟ้าจากลาวและยังพยายามย้ายฟากจากตะวันตกไปตะวันออกจากเมียนมาไปปอยเปตของกัมพูชา เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่ารัฐบาลไทยจะตัดไฟรวมถึงมาตรการอื่นๆที่จะตามมาก็ต้องดูว่าผลจากการนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ปฏิบัติการลดลงหรือไม่รวมถึงการค้ามนุษย์และยาเสพติดด้วยหากไม่ได้ผลก็ต้องเพิ่มมาตรการให้หนักขึ้น...แต่ที่ต้องคุมเข้มต่อไปก็คือการค้าน้ำมันเถื่อนของเถื่อนข้ามชายแดนจะมีมากขึ้นเพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ ไม่ว่าคนทั่วไปหรือมิจฉาชีพที่ทำมาหากินใกล้ชายแดนเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเพราะผลประโยชน์สูงก็ต้องถูกคุมเข้ม อย่างข่าวที่มีตำรวจเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ด้วยอย่างหนึ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการคือการตัดเส้นทางการเงินโดยแบงก์ชาติ ธนาคารพาณิชย์ได้เข้ามาร่วมแก้ไข รวมถึงบริษัทมือถือที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยก็ต้องทำให้จริงและเข้มข้นหากจุดหนึ่งจุดใดไม่ทำงานก็จะพังทั้งระบบได้แต่เรื่องนี้ได้สะท้อนภาพของรัฐบาลได้ว่าแก้ไขปัญหาช้าจนทำให้เกิดความเสียหายไปมาก แล้วยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขทั้งระบบระเบียบต่างๆที่ไม่ทันสมัยด้วยอย่ามุ่งแต่การเมืองจนลืมปัญหาของประชาชน!"สายล่อฟ้า"คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม