หวนชูเต้าหยิน ผู้รู้สมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1911-2187) เขียนเรื่อง ลมใบไม้ผลิกับหิมะน้ำแข็ง เรื่องผู้คนสมัยราชวงศ์จิ้น (พ.ศ.808-963) ไว้ในหนังสือเก่าพบในพระราชวังโบราณกรุงปักกิ่งที่จริงผมอ่านเรื่องนี้หลายครั้ง แต่อ่านครั้งนี้สงสัยทำไมเรื่องก็ธรรมดาๆ เมื่อกว่า 1,600 ปี จึงมีคนจดจำมาเล่าขาน ต่อเนื่องกันยาวนานถึงวันนี้หวนชูเต้าหยิน เริ่มด้วยโวหารเชิงพรรณนา...ลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดไปทั่วผืนแผ่นดิน ความหนาวยะเยือกของฤดูกาลที่เพิ่งพ้นผ่าน ค่อยๆลดน้อยถอยลงต้นไม้ใบหญ้า หนอนแมลงนานาพันธุ์ ฟื้นจากหลับใหลในฤดูหนาวยาวนาน ทั่วทั้งท้องทุ่งสดใสมีชีวิตชีวาสายลมฤดูใบไม้ผลิชวนให้คิด ถ้าคนเราต่างมีความละมุน ละไมให้กัน โลกนี้จะน่ารื่นรมย์เพียงไหน?ในจวนของหวนอุนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว สมัยราชวงศ์จิ้นวันนั้นหลังคำตัดสินให้โบยผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยกระบอง คนถือกระบองกำลังยกกระบอกขึ้นตี แต่คำสั่งตีได้แค่เนื้อผ้า อย่าให้ถูกเนื้อตัวคนกระบองก็ยกมือค้าง นี่คือการโบยที่รับคำสั่งแล้วทำได้ แต่ทำได้ยาก แทนการตีที่เนื้อตัว จึงเป็นการตีลงพื้น...ลูกชายหวนอุนกลับมาจากนอกบ้านเห็นเข้า ก็ถาม “ท่านพ่อทำไมจึงลงโทษกันแบบนี้เล่า?”หวนอุนหัวเราะ “พ่อยังเป็นทุกข์ กลัวเขาจะตีแรงเกินไปด้วยซ้ำ”คนที่มีใจเมตตาการุณย์อุ่นเอื้อเยี่ยงนี้ ไม่ว่าใคร ก็อยากเข้าไปใกล้ จะได้แบ่งปันความอบอุ่นที่เขามี ไปให้โลกส่วนอื่นเล่าถึงหวนอุน เปรียบลมอุ่นในฤดูใบไม้ผลิแล้ว หวนชูเต้าหยินก็ชวนให้ย้อนให้นึกถึง หิมะน้ำแข็งในฤดูหนาว ที่เพิ่งผ่านไป หิมะน้ำแข็งไม่แค่ทำให้คนเราหนาวสะท้าน แต่ยังสังหารพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตไปทุกอย่างใช่ว่าใครก็จะกล้าเข้าไปใกล้ได้ง่ายๆเจี่ยชง คนสมัยเดียวกับหวนอุน เป็นคนร่ำรวยใจดีแต่เคราะห์ร้ายมีภรรยาแซ่กว้อที่โหดร้าย มีบุตรอายุสองขวบแล้วมีแม่นมอุ้มชูเลี้ยงดูใกล้ชิดวันหนึ่งเจี่ยชงกลับจากธุระเดินเข้าประตูบ้าน แม่นมอุ้มบุตรชายในอ้อมแขน เดินเล่นบนลานบ้านบุตรชาย เหลือบเห็นพ่อก็ดีใจ ยกสองมือไขว่คว้า สองขาดิ้นรนแสดงความดีใจเจี่ยชงเดินเข้าไปประชิด โน้มกายลงจูบมือบุตรชายโอกาสนี้เอง กว้อฮูหยิน ภรรยาเห็นเข้าก็เข้าใจว่าสามีจูบแม่นม นางวิ่งเข้าครัวคว้ามีดออกมา ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมฆ่าแม่นมตายไปทันทีสังคมจีนยุคนั้นผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงรับใช้เหมือนทาสทาสคนหนึ่งตาย ยังหาทาสอื่นแทนได้ จะกระไรนักหนา แต่เรื่องไม่เป็นเช่นนั้นบุตรชายเจี่ยชงรักแม่นมติดแม่นมมาก รับรู้เหตุการณ์ที่แม่เขาฆ่าแม่นมกับตา เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนทั้งวันทั้งคืน ไม่นาน...บุตรชายเจี่ยชงก็ตายไปอีกคนหวนชูเต้าหยิน จบเรื่องเล่าเรื่องนี้ว่า ระหว่างลมฤดูใบไม้ผลิ อย่างหวนอุน และลมในฤดูหิมะน้ำแข็งอันเหน็บหนาวทารุณ อย่างเมียหวนอุน อันใดควรชอบ อันใดควรชัง สองเรื่องเล่านี้ เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนบ้านเมืองของเรา ไม่ใช่เมืองหนาว นานปีก็จะเห็นหิมะตกกับตา สองสามวันที่ผ่านมาก็แค่หนาว...กว่าทุกปีผมก็ได้แค่ภาวนา เรื่องเลวๆร้ายๆ ใครนึกจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ง่ายๆ ได้ยินแล้วหนาว แบบเรื่องเล่าหิมะแข็ง จะไม่เกิดมี.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม