ผมก็เหมือนคนไทยทั่วๆ ไปแหละครับ ที่ชอบฤดูหนาวมากกว่าฤดูร้อน และจะรู้สึกว่ามีความสุขอย่างยิ่งเมื่อฤดูหนาวเวียนมาถึง...โดยเฉพาะตอนเป็นเด็กๆภาวนาทุกคืนวันอยากให้ถึงฤดูหนาวเร็วๆยังจำได้เมื่อ 70 กว่าปีที่แล้ว ลมหนาวที่นครสวรรค์จะมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน และก็ทอดยาวไปจนถึงกุมภาพันธ์ช่วงตรุษจีนจะมาพร้อมกับ “หมอก” ที่แม้จะทำให้รอบๆตัวสลัวลงแต่ก็มีเสน่ห์ เวลาไปนั่งที่ริมฝั่งแม่นํ้าปิงหน้าบ้านดูไอหมอกที่ลอยฟ่องอยู่เหนือแม่นํ้าบ่อยครั้งที่ไอหมอกพัดมาโดนตัวเรา ซึ่งเราก็สูดเข้าปอดได้อย่างเต็มอิ่ม พร้อมกับหายใจออกมาเป็นควันผสมผสานไปด้วยกันเมื่อผมมีโอกาสมาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ในภายหลังผมก็พบว่า กรุงเทพฯใน พ.ศ.นั้น (ประมาณ 2501) แม้จะแออัดกว่านครสวรรค์เยอะ แต่ลมหนาวในกรุงเทพฯก็ยังเยือกเย็นพอๆกันบ้านเพื่อนร่วมชั้นเตรียมอุดมปีที่ 1 ของผมรายหนึ่งอยู่ในซอยสวัสดี หรือสุขุมวิท 31 ซึ่งยังเป็นทุ่งนาเหมือนต่างจังหวัด แม้จะมีเศรษฐีจำนวนมากเริ่มไปปลูกบ้านพักสวยหรูกันพอสมควรแล้ว แต่บ้านเพื่อนผมซึ่งมีพ่อเป็นผู้พิพากษาก็ยังปลอดโปร่ง มีสระอยู่สระหนึ่ง มี เรือนแพ เล็กๆหลังหนึ่งปลูกอยู่ริมสระให้ลูกๆพักอาศัยผมไปนอนที่เรือนแพซอยสวัสดีหลายครั้งในช่วงฤดูหนาว ยังจำได้จนถึงเดี๋ยวนี้ว่า ลมหนาวที่ซอยสวัสดี พ.ศ.นั้นหนาวถึงใจไม่แพ้นครสวรรค์ และไอหมอกจากสระนํ้าข้างเรือนแพก็ขาวสดใส มีกลิ่น “สะอาด” ไม่แพ้หมอกที่ริมแม่นํ้าปิง67 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมอพยพมาอยู่ กทม.เต็มตัว มีบ้านพักอาศัยเล็กๆหลังหนึ่งเป็นของตัวเองที่ เขตบางกะปิวันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2568 กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า ลมหนาวจากจีนพัดมาสู่ประเทศไทย ทำให้ภาคเหนือ ภาคอีสาน อุณหภูมิลดลงตํ่าระดับ 6-7 องศาในบางพื้นที่ และเหลือ 2-7 องศาเท่านั้นบนยอดดอยของภาคเหนือ และบนยอดภูของอีสาน...บางแห่งลดลงไปถึงศูนย์และติดลบหน่อยๆด้วยซํ้าเขตบางกะปิของผมใน กทม. ก็พลอยได้รับผลอานิสงส์ไปด้วย อุณหภูมิลดลงเหลือ 17 องศาเซลเซียส หนาวเย็นชื่นใจผมออกไปเดินเล่นตอนเกือบ 7 โมงเช้า ซึ่งฟ้าสางแล้ว แต่ก็ยัง 17 องศาอยู่ รู้สึกสดชื่นรื่นรมย์เหลือเกินในตอนแรกแต่สักครู่หนึ่งผมก็รู้สึกคันคอและไอค็อกแค็กๆออกมา 2-3 ครั้ง พร้อมกับมองเห็นบรรยากาศรอบๆเต็มตา เนื่องจากฟ้าเริ่มแจ้งขึ้นอีกนิด ปรากฏว่ามีแต่หมอกควันเต็มไปหมดหมอกควันสีแปร่งๆยังไงก็ไม่รู้ ไม่เหมือน “หมอก” ยามเช้าที่ริมนํ้าปิงนครสวรรค์ และไม่เหมือน “หมอก” ยามเช้าที่สระนํ้าข้าง “เรือนแพ” ที่บ้านเพื่อนผมใน ซอยสวัสดี สุขุมวิท เมื่อ 67 ปีก่อนผมเปิดแอปของกรมควบคุมมลพิษในมือถือดู ปรากฏว่าเช้าวันจันทร์ที่ว่านี้กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ใน กทม. ค่าฝุ่นพิษหรือฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 อยู่ในเกณฑ์ “สีส้ม” (ซึ่งแปลว่าเริ่ม “อันตราย” ต้องระมัดระวัง) ที่เหลือก็เป็น “สีเหลือง” สอบผ่านแบบหวุดหวิด บ่ายๆจะเป็นสีส้มหรือไม่ ยังไม่รู้ผมรีบถอยหลังเข้าบ้านปิดประตูแน่น พร้อมกับนั่งเขียนต้นฉบับในเชิงรำพึงรำพันดังที่ท่านอ่านมาทั้งหมดนี้ครับ! ก็รำพึงรำพันเชิงบ่นๆไปพลาง เพราะไม่รู้จะเสนอแนะอะไรดี เนื่องจากเสนอมาหลายที และหลายปีก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปก็หลายคน เปลี่ยนผู้ว่าฯ กทม.ไปก็หลายคน ลมหนาว กทม.ยังคงเป็นลมหนาวเปื้อนฝุ่นพิษจนแล้วจนรอดแต่ก็เอาเถอะถ้าไม่เสนออะไรเลย คอลัมน์นี้ก็จบไม่ได้...กลั้นใจฝากอีกหนก็แล้วกัน ท่านผู้ว่าฯ กทม.ครับ ท่านนายกฯอิ๊งค์ครับ ทำไงดีครับ ลมหนาว และหมอกยามเช้าบ้านเราถึงจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง สามารถสูดเข้าปอดโดยไม่ต้องกลัวอันตรายได้เหมือนเมื่อ 67ปีที่แล้วมาถ้าขอให้ “เหมือนเดิม” มากไป...ขอแค่สัก “ครึ่งหนึ่ง” ก็ยังดี...จะมีโอกาสไหมครับเนี่ย?"ซูม"คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม