บรรดาบิ๊กซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ พร้อมใจส่งคำแสดงความยินดีไปยัง “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังจากประสบชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นำโดย มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก แห่ง เมธา, ทิม คุก จากแอปเปิล, ซุนดาร์ พิชัย อัลฟ่าเบท, และกูเกิล, สัตยา นาเดลลา ไมโครซอฟท์, แซม อัลท์แมน แห่งโอเพ่น เอไอ, เจฟฟ์ เบซอส จากแอมะซอน เป็นต้นในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้ต่อสู้กับ “ทรัมป์” หลายคนและหลายบริษัทไม่ได้มองอดีต ไปจนถึงการโดนคุกคาม โดยทั้งหมดได้โพสต์คำอวยพรผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการเมืองซิลิคอนวัลเลย์ซึ่งมีทั้งผู้สนับสนุนและต่อต้านเขา แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำงานร่วมกับเขา หรือแม้แต่แสวงหาความชอบจาก “ทรัมป์” ในเรื่องกฎหมายสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯในอีก 4 ปีข้างหน้าบรรดาซีอีโอทั้งหลายยังได้แสดงความยินดีไปถึง “อีลอน มัสก์” แห่งเทสล่า หนึ่งในคู่แข่งสำคัญที่มีส่วนสำคัญทุ่มทุนไปกว่า 152 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และช่วยให้ “ทรัมป์” ชนะในการเลือกตั้ง จนถูกมองว่าอาณาจักรธุรกิจของ “มัสก์” ในยุคต่อไปนี้ช่างสดใสจริงๆขณะที่ซีอีโอและบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งถูกหมายหัวจาก “ทรัมป์” ที่มีการกระทบกระทั่งกันในช่วงที่ผ่านมา อาทิ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก แห่ง เมธา ถูกเขาขู่โดยเขียนลงในหนังสือของเขาเกี่ยวกับซัคเกอร์เบิร์กว่าจะลงโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ เจฟฟ์ เบซอส จากแอมะซอน มีเรื่องบาดหมางกับเขามายาวนาน กับการเป็นเจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่และในเรื่องธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งซีอีโออีกหลายคนที่ประกาศชัดให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครตหรือแม้แต่ “มัสก์” ในอดีตเคยพูดถึงเขาว่าควรจะ “ล่องเรือไปจนสุดขอบฟ้า” และเขาเองได้ออกมาประณามโครงการที่รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลของมัสก์มากมาย “เช่นการสร้างยานอวกาศที่ไปไหนไม่ได้”อเมริกาต้องมาก่อน โจทก์เก่าไว้ทีหลังดังนั้นการออกมาแสดงความยินดีของบรรดาซีอีโอทั้งหลายถือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการการเมืองของซิลิคอนวัลเลย์ เนื่องจากผู้สนับสนุน “ทรัมป์” มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และผู้บริหารระดับสูงที่บางครั้งต่อต้านเขาก็แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำงานร่วมกับเขาและผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่อาจคาดเดาได้ อย่างไรก็ตาม นโยบาย “America First” หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งเสริมและใช้เป็นหลักการในการกำหนดนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจของประเทศ นโยบายนี้มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลักนั้นจะถูกหยิบยกมาใช้ต่อไปกรณีของกูเกิล (Google) นับว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะ “ทรัมป์” เคยแสดงจุดยืนว่ามีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่งมีอิทธิพลมากเกินไปและมีการผูกขาด ซึ่งในขณะนี้ทางกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ กำลังฟ้องกูเกิลในคดีต่อต้านการผูกขาด โดยเน้นไปที่การเป็นเจ้าตลาดบริการค้นหาข้อมูลออนไลน์ ซึ่งผลคดีอาจขึ้นอยู่กับท่าทีของเขาที่จะดำเนินการต่อไปอย่างไรมีผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่าเขาอาจจะไม่สนับสนุนการผ่าธุรกิจของกูเกิล โดยหยิบยกคำพูดตอนช่วงหาเสียงของเขาว่า การผ่าธุรกิจของกูเกิลอาจจะไม่ใช่แนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมสำหรับการทลายการผูกขาดกับกูเกิล ซึ่งอาจนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อบริษัทมากขึ้นก็เป็นไปได้เขากล่าว “จีนกลัวกูเกิล” พร้อมระบุว่า จีนอาจเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่สำหรับสหรัฐฯ และสหรัฐฯจำเป็นต้องมีบริษัทที่ยอดเยี่ยมอย่างกูเกิลเพื่อแข่งขันกับจีนดังนั้น จุดยืนของเขากับกูเกิลอาจจะมีอิทธิพลต่อการดำเนินของคดีของกระทรวงยุติธรรมก็เป็นได้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านๆมา เขามักวิพากษ์ วิจารณ์กูเกิลว่ามี “มุมมองที่อคติต่ออนุรักษ์นิยม” ก็ตามสงครามเทคโนโลยีกับจีนจะเข้มขึ้นอีกระดับสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะมีความเข้มข้นขึ้นไปอีก จะมีเกมกำหนดผู้ชนะที่จะมีอำนาจคุมทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนของนโยบายในช่วงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในสมัยแรกของเขา การแบนบริษัทหัวเว่ย ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีของจีนในปี 2019 ที่ผ่านมา “ทรัมป์” ได้สั่งห้ามบริษัทของสหรัฐฯทำธุรกิจกับหัวเว่ย โดยอ้างเหตุผลความมั่นคงของชาติผลของการแบนดังกล่าว ทำให้หัวเว่ยไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและชิป ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์เทคโนโลยีจากกูเกิล และควอลคอมม์ เป็นต้น สมาร์ทโฟนเรือธงของหัวเว่ยซึ่งขายดีมาก มาแรงสุด เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและถ่ายรูปสวย เป็นคู่แข่งสำคัญของไอโฟน แต่เมื่อสมาร์ทโฟนไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ของกูเกิลทำให้ผู้ใช้ทั่วโลกหยุดซื้อทันที สร้างผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้ไม่เพียงเท่านั้นเขายังได้ประกาศขึ้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนหลายรายการ รวมถึงสินค้าเทคโน โลยี มาตรการนี้ได้กดดันให้บริษัทจีนย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนและลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของจีนรวมไปถึงการจำกัดการลงทุน โดยออกคำสั่งห้ามลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีและการสื่อสารของจีนที่มีความสัมพันธ์กับกองทัพจีน เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีที่สำคัญตกไปอยู่ในมือจีนในยุคของ “โจ ไบเดน” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีต่อจากเขา ได้พัฒนายุทธศาสตร์ทำสงครามเทคโนโลยีกับจีนให้เป็นระบบและมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการแบนบริษัทจีนเพิ่มเติม โดยพุ่งไปที่การควบคุมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ห้ามบริษัทจีนเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ ทำให้สหรัฐฯยังคงมีอิทธิพลในอุตสาหกรรมนี้สูงมากการสร้างหวงโซ่ทางเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพโดยร่วมกับประเทศพันธมิตรเพื่อลดการพึ่งพาจีน และป้องกันไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีของจีนซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนเข้ามาครอบงำข้อมูลและซัพพลายเชนระดับโลกบนเส้นทางของสงครามเทคโนโลยีระหว่างสองยักษ์ใหญ่ของโลกจะมีความเข้มข้นขึ้นตามลำดับและต่อเนื่องจากนโยบายเดิมของเขา เช่น การเพิ่มมาตรการกีดกันและคว่ำบาตรเทคโนโลยีจากจีน อาจเพิ่มข้อห้ามการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ ซอฟต์แวร์ AI เทคโนโลยี เครือข่าย เพื่อไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีจากจีน เช่น หัวเว่ย และ ZTE สามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่แข่งขันได้ รวมถึงการขยายรายชื่อการแบนบริษัทจากจีนเพิ่มขึ้นการควบคุมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนจากต่างชาติ โดยการเข้มงวดการลงทุนจากจีน เพื่อไม่ให้มาลงทุนหรือครอบครองเทคโนโลยีของสหรัฐฯผ่านการควบกิจการในกลุ่มเทคโนโลยีต่างๆ การออกมาตรการควบคุมแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน และแอปยอดนิยมอย่าง TikTok และ WeChat อาจแบนการใช้แอป เพราะเขาเคยเน้นถึงภัยคุกคามในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อย่างไรก็ตาม นโยบายการขึ้นภาษีเทคโนโลยีจากจีนอาจะส่งผลกระทบให้ชาวอเมริกันได้รับผลกระทบที่จะต้องจ่ายในราคาแพงขึ้นก้าวต่อไปของการพัฒนาเทคโนโลยีการเน้นให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯลงทุนในประเทศเองและพัฒนานวัตกรรมในประเทศ โดยลดการพึ่งพาแหล่งผลิตจากต่างประเทศ รวมถึงการเรียกร้องให้บริษัทรักษาฐานการผลิตและการวิจัยในสหรัฐฯ เหมือนในอดีตที่ทรัมป์ได้เรียกร้องให้บริษัทยักษ์ใหญ่กลับมาลงทุนภายในประเทศรวมไปถึงการทุ่มงบประมาณมหาศาล เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การสื่อสารไร้สายและการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทั่วประเทศการพัฒนา AI ของทรัมป์มีแนวโน้มจะผ่อนคลายการกำกับดูแลเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและการพัฒนาในภาคเอกชน แม้ว่าประชาชนจะสนับสนุนกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นก็ตาม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความกังวลว่าสิ่งนี้อาจขัดขวางการกำกับดูแลเทคโนโลยี AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่แนวทางปฏิบัติ ด้าน AI ทางทหาร เขามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงจากนโยบายเดิม เพิ่มงบประมาณในเทคโนโลยีการป้องกันประเทศทางด้านโยบายสินทรัพย์ดิจิทัล เขาได้เปลี่ยนจุดยืนอย่างชัดเจนโดยให้การสนับสนุนอย่างจริงจังหลังมีข้อกังขา เน้นไปที่การควบคุมการใช้คริปโตเคอร์เรนซีในสหรัฐฯ โดยมองว่าคริปโตเคอร์เรนซีสามารถเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างเศรษฐกิจแต่ก็ยืนยันว่าจะต้องมีกฎระเบียบที่ชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การป้องกันการฟอกเงินและการหลีกเลี่ยงการใช้ในทางที่ผิด รวมทั้งการสนับสนุนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่อาจมีประโยชน์สำหรับอนาคตเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนและธุรกิจโดยรวมมุ่งหวังที่จะทำให้สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีอำนาจมากขึ้นในทุกๆด้าน.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทความไซเบอร์เน็ต” เพิ่มเติม