เมื่อหลายวันก่อนกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวันประกาศปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารเกียรติยศจาก 3 เหล่าทัพ บริเวณด้านหน้ารูปปั้นสัมฤทธิ์ ขนาด 6.3 เมตรของ เจียงไคเชก อดีตประธานาธิบดีคนแรกของไต้หวัน ภายใน อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก กลางกรุงไทเป เมืองหลวงของไต้หวัน ย้ายไปจัดพิธีกลางแจ้งบนถนนประชาธิปไตย เส้นทางเข้าสู่อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก ขนาดความกว้าง 40 เมตร ยาว 380 เมตร เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการลบล้างสัญลักษณ์ของ “เผด็จการ”เป็นความเคลื่อนไหวต่อเนื่องจากความพยายามของรัฐบาลไต้หวันในการเร่งเคลื่อนย้ายรูปปั้นเจียงไคเชกราว 760 ชิ้น ที่ยังคงตั้งกระจัดกระจายตามสถานที่สาธารณะต่างๆ ซึ่งประเด็นนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงในสังคมไต้หวันนักประวัติศาสตร์ กลุ่มสิทธิฯ รวมทั้งคนรุ่นใหม่ มองว่าเจียงไคเชกคือ “เผด็จการ” ผู้อยู่เบื้องหลังการทรมานเข่นฆ่าพลเรือนอย่าง โหดเหี้ยม มากกว่า 18,000 คน ในช่วงที่เรียกว่า “ความน่าสะพรึงสีขาว” ขณะที่ผู้สนับสนุนก็มองว่าเจียงไคเชก คือ ผู้ก่อตั้งสร้างชาติ เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ป้องกันการรุกรานของกองกำลังคอมมิวนิสต์ การถอดถอนรูปปั้นออกเพื่อหวังลบล้างตำนานของเจียงไคเชกจะเป็นการสูญเสียโอกาสเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของไต้หวันที่พัฒนาจากเผด็จการมาสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งหมดนี้ทำให้นึกถึงประสบการณ์ที่ได้เข้าชมอนุสรณ์สถานเจียงไคเชกเมื่อเดือนก่อน นอกจากจะได้ร่วมชมพิธีเปลี่ยนเวรยามด้านหน้ารูปปั้นแล้วยังได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติเรื่องราวชีวิตแง่มุมต่างๆของอดีตผู้นำ รวมทั้งเครื่องใช้ส่วนตัว และเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่มาช่วยอธิบายความรู้ต่างๆในวันนั้น ถึงประเด็นการขนย้ายกำจัดรูปปั้น ได้รับคำตอบพร้อมรอยยิ้มว่าก็คงเพราะว่ามีจำนวนเยอะเกินไป ดูแค่ในสถานที่นี้ก็เต็มไปหมด ส่วนเรื่องความเป็นเผด็จการนั้น เราไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอาจเป็นวิธีเดียวในการควบคุมปกครอง เป็นนัยว่าไม่เกิดเหตุเช่นนั้นก็คงไม่มีไต้หวันที่รุ่งเรืองในวันนี้.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม