วันนี้...วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2567 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็น “วันพระใหญ่” หรือวันวิสาขบูชา ที่พุทธศาสนิกชนทั่วโลกถือว่าเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของพุทธศาสนาเป็น วันประสูติ, ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน เพียงแต่ต่างปี และต่างสถานที่เท่านั้น ดังที่มีการจารึกไว้ว่าเช้าวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติ ณ พระราชอุทยานลุมพินี ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล)เช้ามืดวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี เจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ใต้ร่มศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม (ปัจจุบันคือพุทธคยา ส่วนหนึ่งของตำบลคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย)วันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย) ด้วยพระชนมายุ 80 พรรษานับได้ว่าเหตุการณ์สำคัญทั้ง 3 เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในวันเดียวกันอย่างน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง...ชาวพุทธทั่วโลกจึงถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 ของทุกๆปี หรือวันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งได้มีการรวมตัวกันเพื่อแสดงออกถึงความเคารพบูชานับถือและเลื่อมใสในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ตามวัดวาอาราม หรือสถานที่อันเป็นมงคลต่างๆ มาตั้งแต่ยุคโบราณกาล จนถึงปัจจุบันขณะเดียวกันประเทศที่นับถือพุทธศาสนาทั่วโลก ที่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติก็ได้ร่วมกันเสนอให้องค์การสหประชาชาติยอมรับ และประกาศว่าวันวิสาขบูชาเป็นวัน “สำคัญของโลก” และในที่สุดก็ได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ในการประชุมใหญ่ สมาชิกและสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2542มีการจัดงานเฉลิมฉลองและระลึกถึงอย่างเป็นทางการทุกๆปี ณ องค์การสหประชาชาติ ทั้งที่สำนักงานใหญ่นิวยอร์ก และตามสาขาต่างๆสำหรับบ้านเรานั้นในส่วนที่เป็น ทางการ รำลึกถึงการประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลนั้นก็ได้มีการจัดงานขึ้นทุกปี รวมทั้งในปีนี้ที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ พุทธมณฑล และที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก ฯลฯส่วนที่เป็นงานของประชาชนที่ถือว่าเป็นกิจการทางวัฒนธรรม และทางศาสนาประจำปี ก็ได้มีการจัดขึ้นตามวัดต่างๆทั่วประเทศ โดยเฉพาะการทำบุญตักบาตร การฟังเทศน์ ฟังธรรม และการเวียนเทียนนอกจากนี้ยังมีข่าวการจัดงานเวียนเทียนด้วย “กล้าไม้” หรือ “ต้นไม้” แทน ดอกไม้ ขึ้นในวัดสำคัญๆหลายแห่งในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำกล้าไม้ที่ผ่านการเวียนเทียนแล้วไปปลูกต่อ เพื่อความเป็นสิริมงคล และเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แก่ประเทศไทยต้องไม่ลืมว่าคณะรัฐมนตรีได้ประกาศตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม ปี 2532 (ยุคนายกฯ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ)ให้ วันวิสาขบูชา เป็น “วันต้นไม้ของชาติ” ควบคู่ไปด้วย เพราะช่วงวิสาขบูชามักเป็นช่วงเริ่มฤดูฝน การปลูกต้นไม้ในช่วงเวลานี้จะได้ผลมากกว่าฤดูอื่นๆในกรุงเทพฯมีถึงกว่า 30 วัด ที่ประกาศว่า ปีนี้จะมีเวียนเทียนกล้าไม้หรือต้นไม้ รวมทั้งวัดใหญ่คู่บ้านคู่เมืองหลายๆวัด เช่น วัดอรุณราช วราราม, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, วัดเบญจมบพิตร และ วัดประยุรวงศาวาส ฯลฯ เป็นต้นต่างจังหวัดก็มีการจัดตามวัดประจำจังหวัดเกือบทุกๆแห่งครับ โปรดตรวจสอบด้วยก็แล้วกันส่วนในแง่ของบรรยากาศของวันวิสาขบูชา โดยทั่วไปผมก็ขอทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนเหมือนเช่นเคยท่านใดมีเวลาว่างพอจะเจียดได้ อย่าลืมแวะไปทำบุญตักบาตรหรือไปเวียนเทียนตามวัดใกล้ๆบ้านด้วยนะครับจะเวียนด้วยดอกไม้ ธูปเทียนธรรมดา หรือจะเวียนด้วยกล้าไม้ก็สุดแต่ศรัทธา เพื่อสืบสานพุทธประเพณีของเราให้ยั่งยืนสืบไปในส่วนของท่านที่ไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ ผมก็ขอให้ใช้เวลาสัก 5 นาที 10 นาที นั่งไหว้พระที่บ้าน ทำใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งใจละเลิกการกระทำบาปทั้งปวง หันมาทำความดีเพื่อตนเอง เพื่อสังคม อธิษฐานจิตไปเวียนเทียนทางใจไปว่างั้นเถอะขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้อ่านทุกท่านในวันวิสาขบูชา 2567 นะครับ.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ "เหะหะพาที" เพิ่มเติม