การทำข้อตกลงระหว่างประเทศจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง หาไม่แล้วอาจนำพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ยากจะหวนกลับ... เหมือนกับที่ “มัลคอล์ม เทิร์นบูล” อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้อธิบาย ไว้ในบทความได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน เผยแพร่ผ่านสำนักข่าวการ์เดียนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาชำแหละความผิดพลาดของรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้เป็นฉากๆ ต่อกรณีโครงการเรือดำน้ำภายใต้ข้อตกลงความมั่นคงระหว่างออสเตรเลีย-อังกฤษ-สหรัฐฯ AUKUS โดยระบุว่ากองทัพออสเตรเลียต้องการหาเรือดำน้ำรุ่นใหม่มาทดแทนเรือดำน้ำชั้นคอลลินส์ ที่มีกำหนดปลดประจำการในหลังปี 2573 ซึ่งไอเดียของรัฐบาลยุคนั้น คือการยกเลิกโครงการซื้อเรือดำน้ำฝรั่งเศสกลางคันโดยหันไปร่วมมือกับอังกฤษที่สนับสนุนโดยสหรัฐฯ เพื่อสร้างเรือดำน้ำรุ่นใหม่ “ออกัส เอสเอสเอ็น” ที่ยังไม่ได้เริ่มออกแบบแต่อย่างใด มีกำหนดส่งมอบลำแรกหลังปี 2583 หรืออีก 16 ปีหลังจากนี้ (ในกรณีที่ส่งมอบตรงเวลา) คำถามคือระหว่างนั้นออสเตรเลียจะทำเช่นไร? ในเมื่อจำเป็นต้องปลดประจำการเรือดำน้ำรุ่นเก่า ขณะที่โปรเจกต์ความมั่นคงจากอังกฤษก็เป็นที่ทราบกันดีว่าล่าช้าอยู่เสมอ และมักใช้งบประมาณบานปลาย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโครงการเรือฟริเกตชั้นฮันเตอร์ของออสเตรเลีย และโครงการเรือดำน้ำชั้นแอสทูทของอังกฤษเองคำตอบในเรื่องนี้คือ การจัดหาเรือดำน้ำของสหรัฐฯมาทดแทนในระหว่างที่กำลังรอต่อเรือรุ่นใหม่ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะจัดซื้อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้น “เวอร์ จิเนีย” เริ่มต้น 3 ลำ ส่งมอบกันในปี 2575 ปี 2578 และปี 2580 ตามลำดับ และจะซื้อเพิ่มอีก 2 ลำ ในกรณีที่โครงการเรือดำน้ำออกัสเกิดความล่าช้า ในจำนวนเรือดำน้ำทั้ง 5 ลำนี้ อาจมีทั้งเรือมือหนึ่งและเรือมือสองปะปนกันหากเรือดำน้ำเหมือนกับโทรศัพท์มือถือที่เลือกหยิบมาจากชั้นวางได้คงดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือกองทัพเรือสหรัฐฯยังมีเรือดำน้ำไม่เพียงพอต่อความจำเป็น ขาดอีกประมาณ 17 ลำ ไม่รวมถึงเรื่องอัตราการซ่อมบำรุงที่ล่าช้า ฝูงเรือดำน้ำประมาณ 33% กำลังอยู่ในอู่ซ่อมบำรุง หรือจอดอยู่เฉยๆเพื่อรอการซ่อมบำรุง ไปจนถึงกระบวนการต่อเรือดำน้ำได้ประมาณ 1 ลำต่อปี ซึ่งหมายความว่า หากกองทัพเรือสหรัฐฯจะมีเรือดำน้ำเพียงพอต่อความจำเป็น ก็จำเป็นต้องขยายกำลังการผลิตให้เป็นอย่างน้อย 2 ลำครึ่งต่อปี ภายในปี 2571 หรืออีก 4 ปีข้างหน้านำไปสู่ประเด็นที่ว่า ภายในร่างกฎหมายความมั่นคงออกัส ผ่านการลงมติในสภาคองเกรสเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า “สหรัฐฯไม่สามารถขายเรือดำน้ำให้แก่ออสเตรเลียได้ จนกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯจะให้การรับรองว่า การซื้อขายดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อความจำเป็นของกองทัพเรือสหรัฐฯ” หรือตีความได้ว่าสหรัฐฯจะไม่ขายเรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนียให้แก่ออสเตรเลีย จนกว่ากองทัพเรือสหรัฐฯจะมีเรือดำน้ำในปริมาณที่เพียงพอด้วยเหตุนี้ การที่ออสเตรเลียจะได้เรือดำน้ำมาครอบครองย่อมหมายความว่าสหรัฐฯจะต้องขยายกำลังการผลิตให้ได้ตามที่กล่าวมา รวมถึงต้องลุ้นว่าสหรัฐฯจะไม่ปรับเพิ่มจำนวนเรือดำน้ำ “ที่สหรัฐฯจำเป็นต้องมีในประจำการ” เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางความมั่นคงจากจีน สรุปแล้วงานนี้ การซื้อเรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนียมาประจำการในกองทัพเรือออสเตรเลียจึงขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ความต้องการของกองทัพสหรัฐฯและการเมืองของรัฐบาลสหรัฐฯ...รัฐบาลออสเตรเลียไม่มีอะไรที่จะไปต่อรองได้เลยคำถามต่อมาคือว่า รัฐบาลออสเตรเลียมีแผนสองหรือไม่? เรื่องนี้ดูเหมือนไม่มี แต่สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯเรื่องนี้มีแผนสองเตรียมการไว้แล้ว เขียนอธิบายไว้อย่างละเอียดในเอกสารวิจัยของสภาคองเกรสในหัวข้อว่า โครงการเรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนียของกองทัพเรือสหรัฐฯ และข้อเสนอต่อโครงการเรือดำน้ำออกัส : ที่มาที่ไปและประเด็นที่น่าจับตามองสำหรับสภาคองเกรส เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมาโดยระบุว่าในกรณีที่ออสเตรเลียไม่มีเรือดำน้ำ ไว้ในครอบครองหลังปลดประจำการเรือรุ่นเก่าไปแล้ว ทัพเรือสหรัฐฯอาจจะนำเรือดำน้ำสหรัฐฯไปประจำการที่ฐานทัพเรือเมืองเพิร์ธ ทางภาคตะวันตกของออสเตรเลีย ซึ่งจะเป็นฐานทัพเรือที่ออสเตรเลียต้องออกเงินสร้างให้ หรือไม่บางทีก็อาจจ่ายเงินให้กับสหรัฐฯเพิ่มเติม คล้ายๆกับการจ่ายค่าคุ้มครองที่บางทีเกาหลีใต้และญี่ปุ่นกำลังดำเนินการอยู่ สิ่งที่น่ากังวลคือการบริหารจัดการลักษณะนี้ อาจดำเนินไปเรื่อยๆจนกว่าออสเตรเลียจะได้เรือดำน้ำออกัสมาครอบครอง (นานกว่า 16 ปี) หรือไม่ก็ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดหาก “โดนัลด์ ทรัมป์” กลับมาเป็นประธานา ธิบดีสหรัฐฯก็อาจอยู่ในสภาพงุนงงว่าทำไมออสเตรเลียถึงไม่พัฒนาอุตสาหกรรมต่อเรือของตัวเอง แต่กลับให้เงินสหรัฐฯไปแล้ว 3,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 108,000 ล้านบาท เพื่อให้สหรัฐฯขยายกำลังอุตสาหกรรมการผลิตเรือดำน้ำของสหรัฐฯ และให้เงินในปริมาณใกล้เคียงกันแก่อังกฤษเพื่อสนับสนุนการต่อเรือดำน้ำชั้นออกัส ซึ่งงานนี้เชื่อว่าสัญชาตญาณของทรัมป์อย่างแรกเลยคือ การขอเงินเพิ่มจากออสเตรเลียเพื่อให้สหรัฐฯต่อเรือได้เร็วยิ่งขึ้นในความเห็นส่วนตัวนั้น มองว่าผลสรุปของเรื่องนี้คือ เรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ จะไม่มาถึงมือออสเตรเลีย และการต่อเรือดำน้ำชั้นออกัสจะต้องล่าช้าอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นหมายความว่าศักยภาพในการป้องกันตัวเองทางทะเลของออสเตรเลียจะมีช่องโหว่นับตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไป ถึงจะเป็นคนมองโลกสวยแค่ไหน ก็คงต้องยอมรับว่ สถานการณ์เช่นนี้สามารถเกิดขึ้น ได้จริงๆครั้งที่ออสเตรเลียทำข้อตกลงเรือดำน้ำกับฝรั่งเศส ถือเป็นห้วงเวลาที่ออสเตรเลียกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ทรัพย์สินทางปัญญาที่จำเป็นได้รับการโอนถ่ายมายังออสเตรเลียทั้งหมด เป็นเรือดำน้ำที่ฝรั่งเศสใช้ประจำการอยู่แล้ว แต่ปรับปรุงออกแบบใหม่ให้เหมาะสมต่อความต้องการ และออสเตรเลียจะเป็นผู้ต่อเรือดำน้ำด้วยตัวเอง จะต่อเสร็จเมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับเราเอง ซึ่งหากเทียบกับออกัสแล้วถือว่าต้นทุนต่ำกว่าและเสี่ยงน้อยกว่าอย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้วที่จะกลับไปรื้อฟื้นความเป็นหุ้นส่วนกับฝรั่งเศส โอกาสอันเล็กน้อยในช่วงหลังเลือกตั้งที่จะกลับไปญาติดี กับฝรั่งเศส ได้อันตรธานหายไปหลังรัฐบาลใหม่ เลือกที่จะสานต่อนโยบายเก่าและแบกรับกับความเสี่ยงที่ตามมา และเอาเข้าจริงเรือดำน้ำนิวเคลียร์ออกัสจำเป็นต้องใช้แร่ยูเรเนียมจากสหรัฐฯหรืออังกฤษ จำเป็นต้องมีการกำกับดูแลและการสนับสนุนจาก “ต่างชาติ” อยู่ตลอดเวลาถึงจะใช้งานได้ เท่ากับว่าออสเตรเลียไม่มี “อธิปไตย” ในด้านขีดความสามารถทางเรือดำน้ำแต่อย่างใด.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม