นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ลำดับพันธุกรรมของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566 จนถึงปัจจุบัน พบว่า 1.ไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H1N1) pdm09 สายพันธุ์ 6B.1A.5a.2a มีสัดส่วน 75.16% ของไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H1N1) pmd09 ทั้งหมด 2.ไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H3N2) สายพันธุ์ 3C.2a1b.2a.2a.3a.1 คิดเป็น 99.27% ของไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H3N2) ทั้งหมด และ 3.ไข้หวัดใหญ่ชนิด B ทั้งหมด จัดอยู่ในกลุ่ม Victoria lineage clade VIA.3a.2 คิดเป็น 100% สำหรับประเทศไทย พบไข้หวัดใหญ่ชนิด B (Victoria) มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 48.08% รองลงมาคือไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H3N2) มีสัดส่วน 40.77% ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H1N1) pdm09 มีสัดส่วน 11.15% ตามลำดับ นพ.ยงยศกล่าวว่า จากการวิเคราะห์สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยของศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ด้วยการประยุกต์ใช้เทคนิค Whole Genome Sequencing (WGS) วิเคราะห์ลำดับพันธุกรรมทั้งจีโนม และประเมินความสอดคล้องกับสายพันธุ์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่กระทรวงสาธารณสุข ฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย พบว่า สายพันธุ์วัคซีนที่ฉีดยังสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ และยังพบว่าสายพันธุ์ที่พบส่วนใหญ่ มีความสอดคล้องกับสายพันธุ์ในวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์หลักที่กำลังแพร่ระบาดในขณะนี้ และไม่พบยีนที่บ่งชี้การดื้อยานพ.ยงยศกล่าวด้วยว่า ในปี 2567 สายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่ตรวจพบในประเทศไทย ได้รับคัดเลือกจากองค์การอนามัยโลกให้เป็นองค์ประกอบในวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่นั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือและบทบาทที่เข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขไทย ที่ต้องการควบคุมและป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่