ตำรวจจับลุงเปี๊ยก วัย 56 ปี บังคับรับสารภาพคดีฆ่าเมียตัวเองให้กลายเป็นแพะรับบาปยังคงเขย่าวงการสีกากีที่สร้างความเคลือบแคลงใจให้ผู้คนในสังคมนำมาสู่ “ดีเอสไอ” รับเป็นคดีพิเศษเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำ ให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565สะท้อนให้เห็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมยังมีอยู่ในสังคมไทยนำมาสู่ “คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์” จัดเวทีการปฏิรูปตำรวจและกระบวนการยุติธรรมไทยแบบทำน้อยได้มาก และเห็นผลเร็ว : กรณีศึกษาลุงเปี๊ยกโดยมี ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผอ.ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ บอกว่าซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า “ลุงเปี๊ยก” ถูกถอดเสื้อในห้องแอร์นำถุงคลุมหัว ทรมานให้รับสารภาพฆ่าป้ากบนั้น “เกิดจากตำรวจไม่เคารพสิทธิขั้นพื้นฐาน ของประชาชน” ที่ขัดรัฐธรรมนูญ (รธน.) พ.ศ.2560 มาตรา 29 วรรค 2อันมีเนื้อหาใจความว่า “ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหา หรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น เสมือนว่ากระทำความผิดไม่ได้” แต่ด้วยเรื่องนี้ตำรวจได้สันนิษฐานพิพากษาไปแล้วว่า “ลุงเปี๊ยกเป็นผู้ฆ่าป้ากบ” การสืบสวนจึงมุ่งกระทำทุกวิถีทางให้เกิดการรับสารภาพ ทำให้การปฏิบัติหน้าที่นั้น “ไม่เคารพกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” ทั้งการเข้าจับกุม หรือการสืบสวนผู้ต้องหา แล้วที่สำคัญ “ประเทศไทย” บังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯมาตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.2565 แต่ยังพบการทรมานให้รับสารภาพเกิดขึ้นนี้ เพราะตำรวจไม่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทํางานถ้าวิเคราะห์กรณี “ลุงเปี๊ยกถูกควบคุมตัว” ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.2567 แล้วรุ่งขึ้นในวันที่ 13 ม.ค. ก็ถูกนำตัวไปฝากขังต่อศาลส่งเข้าเรือนจำ จ.สระแก้ว และกว่าจะพิสูจน์ได้ว่า “จับผิดตัวต้องนอนในเรือนจำ 2 คืน” ทำให้เห็นว่าตำรวจนำผู้ที่ศาลยังไม่ได้พิพากษาว่ามีความผิดนำไปขังร่วมกับนักโทษเด็ดขาดลักษณะนี้เป็นการทำผิด รธน.ม.29 วรรค 2 ร้ายแรงหรือไม่ เพราะผู้ที่จะไปนอนในเรือนจำได้ “ศาลต้องพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิดจริง” แล้วถ้ามาดู ม.29 วรรค 3 การคุมขังผู้ต้องหาให้ทําได้เท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันการหลบหนี ดังนั้น ผู้ต้องหาที่ศาลยังไม่พิพากษาคดีควรควบคุมไว้เพื่อป้องกันมิให้หลบหนีที่อาจเป็นสถานที่อื่นได้นอกจากนี้ สำหรับ “หมายขังผู้ต้องหา” แม้กฎหมายให้ “ศาล” เป็นผู้ตรวจสอบการขอหมายขัง แต่ที่ผ่านมามีการตั้งคำถามการตรวจสอบกรณีนำผู้ต้องหาไปขังไว้ในเรือนจำหรือไม่ ทั้งที่ตาม ม.29 วรรค 2 บอกว่า ก่อนมี คำพิพากษาอันถึงที่สุดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนว่ากระทำความผิดไม่ได้ ประการต่อมา “สตช.” ในแง่การใช้อำนาจในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯ มีมาตรการป้องกันแต่ละสถานีตำรวจหรือไม่ เพื่อไม่ให้ตำรวจใช้อำนาจโดยมิชอบต่อการทรมานผู้ต้องหาให้ยอมรับสารภาพ เพราะการใช้ถุงดำคลุมหัวให้รับสารภาพนี้ควรต้องหมดไปตั้งแต่กรณีของผู้กำกับโจ้แล้วด้วยซ้ำแต่กลับพบ “การใช้ถุงดำคลุมหัวลุงเปี๊ยก” สะท้อนให้มาตรการแก้ไข และการป้องกันยังมีปัญหาละเมิด พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯ ทำให้มีคำถาม สตช. ดำเนินคดีกับตำรวจผู้ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ฉบับนี้หรือไม่ด้วยเท่าที่ดูเหมือนว่า “จะมีการตั้งข้อกล่าวหาเพียงใช้อำนาจโดยมิชอบตาม ป.อ.ม.157” ดังนั้น เรื่องนี้ สตช.ไม่จัดการผู้ละเมิด พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯอย่างจริงจังอาจจะทำให้ผู้กระทำผิดไม่กลัวกฎหมาย “เพราะจะรู้สึกว่าทำผิดไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ในอนาคตจะเกิด การอุ้มหาย และทรมานต่อไปอีกเรื่อยๆตอกย้ำกรณี “คดีลุงเปี๊ยก” ยังสะท้อนให้เห็นปัญหาสำคัญจากตำรวจ อัยการ ศาล และกรมราชทัณฑ์ต่างคนต่างทำงาน และไม่มีการประเมินผล ในกระบวนการยุติธรรม “ก่อให้เกิดคดีลักษณะคล้ายลุงเปี๊ยกเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในสังคมไทย” เหตุนี้อยากขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยทำน้อยได้มากแล้วเห็นผลเร็วข้อแรก...“เปลี่ยนตำรวจให้มีแนวคิดยึดโยงประชาชน และเคารพกฎหมาย” โดยไม่ต้องปรับหลักสูตรการเรียนในโรงเรียนตำรวจด้วยการฝึกอบรมหลักสูตร Citizen Oriented ระยะสั้น 2 สัปดาห์ หรือ 2 เดือนเพื่อพัฒนางานตำรวจในทุกมิติ “เป็นตำรวจของประชาชน” มีมาตรฐาน สากลยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง “มีประชาชนเป็นเป้าหมายในการบริการ” เพราะการไปปรับหลักสูตรในโรงเรียนตำรวจคงเป็นเรื่องยาก ข้อที่สอง...“เปลี่ยนวิธีประเมินด้วยหลัก Citizen Oriented” เพราะเดิมยิ่งจับมากยิ่งบรรลุเป้าหมายสร้างผลงาน “มักเกิดการล่อซื้อ หรือจับผิดตัว” ส่วนหนึ่งเพราะระบบเอื้อให้ผู้ปฏิบัติตัวไม่ดีทำได้ข้อสาม...“ปรับหลักเกณฑ์พิจารณาเลื่อนตำแหน่ง” ด้วยการนำหลัก Citizen Oriented และการลดอาชญากรรมในพื้นที่เป็นเป้าหมายประเมินความดี “เลื่อนตำแหน่ง” ตำรวจทุกสถานีก็จะปรับวิธีทำงานตามมาเอง แล้วต้องบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำการโดยมิชอบด้วย เพราะอยากให้กรณีลุงเปี๊ยกเป็นจุดเปลี่ยนเหตุการณ์สุดท้ายต่อมาข้อสี่...“ยกเลิกนำผู้ต้องหา และจำเลยขังคุก” ด้วยเรือนจำควร มีไว้ขังเฉพาะนักโทษเด็ดขาดตาม รธน.ม.29 วรรค 2 เพราะถ้าดูรายงานสถิติ ของกรมราชทัณฑ์ (1 ม.ค.2567) นักโทษอยู่ในเรือนจำทั้งสิ้น 276,000 คน มีจำนวนมากเป็นอันดับ 8 ของโลก หากคิดตามสัดส่วนประชากรกลับมาอยู่ในอันดับ 3-4 ของโลกในจำนวนทั้งหมดนั้น “มีผู้ต้องหาอยู่ในกระบวนการไต่สวนรอการ พิจารณาคดี 54,530 คน” สิ่งเหล่านี้กำลังกระทำการขัดต่อ รธน.หรือไม่ แล้วยิ่งมาดู ป.วิ.อาญา ม.89/1 ถ้าหากกรณีผู้ต้องขังร้องขอสามารถนำตัวไป คุมขังที่อื่นได้ “อันเป็นการเปิดช่องไว้” แต่ไม่รู้ว่ากฎกระทรวงประกาศหรือยังทำให้มาตรานี้ไม่อาจบังคับใช้ได้ฉะนั้นขอเสนอตามที่ “กรมราชทัณฑ์ออกระเบียบว่าด้วยการดำเนินการ สำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขังฯ” มีรองอธิบดีที่กำกับดูแลกองทัณฑวิทยา เป็นประธานพิจารณานำผู้ต้องหารอการตัดสินคดีออกจากเรือนจำไปคุมขังภายนอกที่ไม่ใช่เรือนจำตามระเบียบใหม่ให้ทำได้ เพราะคนกลุ่มนี้ศาลยังไม่ได้พิจารณาตัดสินลงโทษ สิ่งนี้จะสามารถลดผู้ต้องขังในเรือนจำลง 20% นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องกักขัง ที่ต้องโทษแทนค่าปรับใช้อัตรา 500 บาท/วัน อันมีจำนวน 6,099 คน ก็ควรต้อง ถูกนำออกมาคุมขังนอกเรือนจำเช่นกัน ด้วยการขอเสนอแนวทางให้ใช้ตาม ป.อาญา ม.30/1 อันมีการแก้ไขไว้แล้วสำหรับผู้ต้องขังแทนค่าปรับสามารถยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อทำงานประโยชน์สาธารณะแทนค่าปรับทำได้เลยทันที “ด้วยตามตัวเลขคาดการณ์ผู้ถูกคุมขังแทนค่าปรับมี 2 หมื่นคน/ปี” แล้วนำคน กลุ่มนี้เข้าไปอยู่ในเรือนจำร่วมกับนักโทษเด็ดขาดคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอนแล้วหากความปรากฏแก่ “ศาล” ในขณะที่พิพากษาคดีว่า “ผู้ต้องขัง แทนค่าปรับรายใด” อยู่ในเกณฑ์ที่จะทำงานบริการสังคม หรือทำงานสาธารณ ประโยชน์ตามมาตรานี้ได้ และถ้าผู้ต้องโทษปรับยินยอม “ศาล” จะมีคำสั่ง ให้ผู้นั้นทำงานบริการสังคม หรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับก็ได้สุดท้ายนี้ขอชวน “ปรับกระบวนการยุติธรรมไทย” ด้วยการใช้กลไก คณะกรรมการบูรณาการ ตรวจสอบ และประเมินผล ทั้งการลดผู้ต้องขังแทนค่าปรับให้ทำงานบริการสังคมได้ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ และลดนักโทษกระทำผิดซ้ำกลับมาติดคุกใหม่ ด้วยระบบจัดหางาน มีกองทุนตั้งตัว ไม่มีดอกเบี้ย และมีระบบติดตามอีกทั้งลดกองทุนเงินประกันตัวแล้วนำมาสนับสนุน “ลดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม” ทั้งแก้ไขการดำเนินคดีที่ล่าช้า รวมถึงต้องปรับเปลี่ยน KPI มาเป็นประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมาย และการกระทำผิดน้อยลง อันเป็นเป้าหมายของการทำงานในทุกส่วนงานของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดนี้คือ “การถอดบทเรียนกรณีศึกษาลุงเปี๊ยกตกเป็นแพะ” นำมาสู่ข้อเสนอ 4 แนวทางในการปรับหลักการปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรมไทยแบบทำน้อยได้มาก และเห็นผลเร็วโดยไม่ต้องแก้โครงสร้าง แก้กฎหมาย และออกพระราชบัญญัติใหม่ แต่สามารถทำได้เลยทันที...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม