นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเพิ่มสิทธิประโยชน์ผ่าตัดแปลงเพศในกลุ่ม LGBTQ+ ว่า จริงๆการผ่าตัดแปลงเพศอยู่ในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทองมาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว อย่างปีที่แล้วมีการออกประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง ประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุข พ.ศ.2565 ก็ระบุค่อนข้างชัดเจน การกระทำใดๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ไม่ครอบคลุมหรือเบิกไม่ได้ ดังนั้นหากเป็นกรณีที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ก็ชัดเจนว่า สามารถทำและใช้สิทธิได้ แต่ที่ผ่านมาพบว่า รพ.มีแต่การเบิกเรื่องของการผ่าตัดแปลงเพศ กรณีเพศกำกวมแต่กำเนิด แต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 100 กว่าราย ไม่เคยเบิกกรณีผ่าตัดกลุ่ม LGBTQ+ เข้ามา จะมีปีที่แล้วที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ เบิกเข้ามา 1 ราย เรื่องการแปลงเพศของกลุ่ม LGBTQ+ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิทธิประโยชน์ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการพูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวว่าตรงไหนทำได้หรือไม่ได้อย่างไร จึงมีการนัดภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องหารือทั้งแพ็กเกจเลย ตั้งแต่ ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค รักษาฟื้นฟูครบทุกกระบวนการ เพราะจะมีตั้งแต่การใช้ฮอร์โมนจนถึงแปลงเพศ ฮอร์โมนบางตัวอาจจะไม่อยู่ในบัญชียาหลัก ต้องไปดูรายละเอียด เรากำลังให้ทีมทำเป็นแพ็กเกจทั้งหมดของทรานส์เจนเดอร์ ซึ่งบางเรื่องมีอยู่แล้ว แต่แค่กระจัดกระจาย เราจะรวมแพ็กเกจมาคุยกันใหม่ คาดว่าประมาณ 1-2 เดือนน่าจะแล้วเสร็จ“การผ่าตัดแปลงเพศที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ส่วนใหญ่จะมองเหมือนเสริมสวย แต่เราตีความชัดเจนขึ้น ถ้าจำเป็นในทางการแพทย์ก็จะอยู่ในสิทธิประโยชน์ จึงขึ้นกับแพทย์ที่ทำการรักษาว่าจะตัดสินใจทำหรือไม่ เพื่อป้องกัน ไม่ใช่ว่าใครจะทำอะไรก็ได้ จะคิดเอาเองไม่ได้ ตรงนี้มีความชัดเจนขึ้น” นพ.จเด็จกล่าว.อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม