หากจะคุยว่า เก่งภาษาไทย...ผมอยากขอให้อ่านเรื่อง “ครอก” ใน “ศัพท์สรรพรรณนา” (ปรัชญา ปานเกตุ สถาพรบุ๊คส์ พ.ศ.2565) ให้จบเสียก่อน“ครอก” หนึ่งหมายถึงเสียงอย่างคนกรน หรือเสียงลิงค่างขู่ศัตรู สุนทรภู่เขียนไว้ในนิราศเมืองแกลง “สดับเสียงลิงค่างครางคำรณเหมือนคนกรนโครกครอกทำกลอกตา”“ครอก” หมายถึงลูกสัตว์ที่เกิดร่วมกันมากในคราวเดียว ลูกปลาจำพวกปลาช่อน ปลาชะโดที่ตามแม่เป็นฝูงๆเรียก “ลูกชักครอก” หรือ “ลูกครอก” ในอุเทนคำฉันท์ เรียกปลาจ่าฝูงนั้นว่า “ปลาชักครอก” หรือ “ปลาครอก”ปลาม้าหวายเห็นตัว ปลาครอกชักครัว แลลูกก็ล้อมเล็มไคลปัจจุบันใช้เรียกการตกลูกแต่ละครั้งของสัตว์บางชนิดที่มีลูกคราวละหลายตัว เช่น “ปีนี้หมาออกลูก 2 ครอก ลูกแมวครอกนี้มี 5 ตัว ว่าจะหาไก่มาเลี้ยงสักครอกหนึ่ง”สำนวน “ขี้ข้าม้าครอก” หมายถึง คนรับใช้หรือทาส ใช้กับคน ก็เป็นคนระดับล่าง ตัวอย่างในจารึกพุทธศตวรรษที่ 21 “แลเจ้าหมื่นไว้” “ข้าครอกหนึ่ง” เป็น “ข้าพระ”จารึกที่ผนังอุโบสถวัดรังษีสุทธาวาส กล่าวถึงการกัลปนาคน และสิ่งของแก่วัด จำนวน 4 ครัว แล้วทรงอุทิศถวายคนไว้เป็นผู้ปฏิบัติพระรัตนตรัยสำหรับอาราม 4 ครัวมีหลักฐานว่า “ครอกครัว” หมายถึง “ครอบครัว” ตัวอย่างจาก “ยวนพ่าย” ทังครอกครัวครยวดล ปิ่นเกล้า”ใช้ “ครัวครอก” ก็มีตัวอย่างจากลิลิตตะเลงพ่าย “ประเทศนครนรสิงห์สรรค์ ศรีสุพรรณทุกพาย เขาก็ขยาย “ครัวครอก” ซอกไปซ่อนไปซุก”ลูกของทาสในเรือนเบี้ย รวมทั้งทาสเชลย ทาสมรดก และทาสช่วยมาเมื่อทุกข์ยาก เรียก “ลูกครอก” ดังตัวอย่างจาก “พระราชบัญญัติ” จะให้ทาสเชลยเสียค่าตัวเหมือนลูก (ทาษ/ครอก) นั้น หาควรไม่”ส่วน “ขี้ครอก” เป็นคำด่าดูถูกเหยียดหยาม ว่าเป็นผู้มีฐานะต่ำต้อย กว่าครอกหรือทาส เช่น“ทั้งอ้ายเงาะขี้ครอกจงบอกมัน มิได้ปลามาทันจะบรรลัย” (บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง)ทั้งหมดที่ยกมา “ครอก” มีความหมายไปถึงสัตว์ และคนชั้นต่ำ แต่เมื่อเอา “ครอก” ไปผสมกับ “เจ้า” เป็น “เจ้าครอก” ก็มีความหมายสูงขึ้นไปทันที หมายถึงเจ้าโดยกำเนิดหรือที่สถาปนาขึ้นเรียกพระราชโอรสและพระราชธิดาชั้นเจ้าฟ้าว่า “เจ้าครอกฟ้า” เช่นที่สุนทรภู่ เรียกเจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้าปิ๋ว ในเพลงยาวถวายโอวาทว่า “หากสมเด็จเมตตาว่าข้าเก่า ประทานเจ้า “ครอกฟ้า” บูชาเฉลิม”เรียกพระองค์เจ้าว่า “เจ้าครอก” เช่นที่คนทั้งหลายเรียกพระองค์เจ้ากุว่า “เจ้าครอกวัดโพธิ์” เพราะประทับอยู่วังริมวัดพระเชตุพนเรียกหม่อมเจ้าว่า “ครอก” เช่นที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ตรัสเรียก ม.จ.สารพัดเพชร ในกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ว่า “ครอกป้าเพชร” และเรียก ม.จ.ประวิช ชุมสาย ว่า “ครอกต๋ง”ให้ความรู้เรื่อง “ครอก” มาถึงตอนนี้ อาจารย์ปรัชญาจบด้วยเรื่องของคอลัมนิสต์ ผู้พาผู้อ่านเหินฟ้าภาษาโลก อดีตนายตำรวจผู้ทิ้งปืนมาจับปากกา พูดถึงลูกๆของตนว่า “ลูกเจ็ดคนผมส่งไปเรียนชั้นประถมที่ต่างจังหวัดทั้งหมด”“ดิฉันน่าจะฟังผิด” พิธีกรสาวทำเสียงสงสัย “สองครอกนะครับ” คำพูดติดตลกนั้น ลูกเกิดจากแม่ 2 คน มีเสียงหัวเราะออกมาจากผู้ฟัง“ดิฉัน ตกใจกับคำว่า “ครอก” น่ะค่ะ” คิดว่าใช้ได้แต่หมาๆแมวๆ พิธีกรยิ้มแก้เก้อ“อ้อ!พอดี ผมชื่อหมูน่ะครับ” หลังคำตอบนั้นมีเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือดังทั้งห้องประชุมทำความเข้าใจกับศัพท์ครอกได้ครบถ้วนแล้ว ถ้าแน่ใจ ตัวเองรู้ภาษาไทยมากพอ ถ้าพูดได้เขียนได้อย่าง ดร.หมู ก็ไม่ต้องรั้งรอ เปลี่ยนมาเขียนหนังสือหากินได้เลย.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม