ผมพยายามจะทำความเข้าใจ การสืบทอดอำนาจของตระกูลการเมืองไทย...เจอหนังสือ ชื่อแซ่ และระบบตระกูลแซ่ (ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ พ.ศ.2559) ก็รีบอ่านตอนหนึ่งในหัวข้อระบบตระกูลแซ่แบบเจียจู๋ (ครัวเรือน) อาจารย์ถาวร สิกขโกศล เขียนว่า การอยู่ร่วมกันตามตระกูลแซ่เกิดขึ้นจากสภาพสังคมจีนตั้งแต่โบราณที่มีสงคราม และการปล้นสะดมกันอยู่เสมอคนจึงต้องอยู่ร่วมกันตามตระกูลแซ่ เพื่อต่อสู้ภัยจากภายนอกเมื่อวงศ์ตระกูลขยายใหญ่ ก็กลายเป็นหมู่บ้าน ตระกูลไหนมั่งคั่งมีอำนาจก็เป็นตระกูลมีอิทธิพล เป็นสภาวการณ์ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ถึงราชวงศ์เหนือ-ใต้ตั้งแต่ราชวงศ์จิ้นเป็นต้นมา อนารยชนทางภาคเหนือเข้ารุกรานจีน คนจีนจงหยวนหนีลงใต้ถึงมณฑลฮกเกี้ยน กวางตุ้ง กวางสี แถบนี้เป็นถิ่นของชนเผ่าเย่ว์พวกฮั่นที่ลงมาจึงต้องอยู่ร่วมกันตระกูลแซ่ มีกำแพงล้อมหรือเป็นหมู่บ้านแบบป้อมค่าย ที่เรียกกันว่าถู่โหลวเกิดเป็นต้นแบบของสังคมจีนภาคใต้ คือกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว ไหหลำ แคะ และจีนในกลุ่มตึ่งนั้งทั้งหลายถึงยุคห้าราชวงศ์ระบบตระกูลแซ่แบบตระกูลใหม่ล่มสลาย กลายเป็นระบบครอบครัวย่อย แต่ยังผูกพันฉันท์ญาติกันในตระกูลแซ่กันอยู่ ครอบครัวเล็กที่อยู่แยกกันกระจายจะอ่อนแอและควบคุมปกครองยากเป็นผลเสียทั้งต่อบุคคลและรัฐปราชญ์ลัทธิขงจื๊อใหม่ จางไจ๊ (พ.ศ.1563-1620) จูซี (พ.ศ.1643-1743) จึงได้กระตุ้นให้อยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ตระกูลแซ่ หมู่บ้านใหญ่หลายแซ่ก็แยกกันอยู่หลายหย่อม แต่ละแซ่มีศาลบรรพชนเป็นศูนย์กลางระบบนี้แพร่หลายในยุคราชวงศ์หยวน หมิง และชิงหัวใจของระบบตระกูลแซ่แบบนี้ คือ “เคารพบรรพชน สามัคคีรวมคนในตระกูล” จากความรักคนในครอบครัวขยายไปเป็นความเคารพบรรพชนครอบครัวตระกูลแซ่ กับครอบครัวย่อยก็เชื่อมโยงกัน ช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ เพราะถ้าไม่กตัญญูต่อวงศ์ตระกูลหรือบรรพชน ทำสิ่งชั่วร้าย คนทั้งตระกูลจะร่วมกันลงโทษ เป็นความผิดร้ายแรงกว่าพ่อแม่ลงโทษระบบตระกูลแซ่แบบนี้ จึงช่วยควบคุมสังคมให้เรียบร้อยด้วยดีแต่กระนั้นก็มีผลพวงหลายประการ ในด้านไม่ดีประการแรก ทำให้เกิดการถือพวกกลุ่มใหญ่ ย่อย ขาดจิตสำนึกร่วมแห่งความชนชาติเดียวกันประการต่อมา มีความขัดแย้งและการรบพุ่งระหว่างตระกูลแซ่ เรื่องแย่งน้ำทำนา แย่งที่ทำกินป่าเขา มาตลอดกว่าสองพันปี การรบพุ่งระหว่างตระกูลแซ่ เป็นเรื่องปกติของคนรุ่นปัจจุบันที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปศูนย์กลางชีวิตคนจีนอยู่ที่ครอบครัว และตระกูลแซ่ ต้องมีความสัมพันธ์ฉันญาติ จึงจะมีความใกล้ชิดสูงสุด ดังมีคำกล่าวภาษาจีนถึง 3 ลักษณะของความรักสูงสุด1.การุณย์รักใด ไม่เสมอด้วยบิดามารดา 2.เสน่หาอาทรใด ไม่เสมอด้วยสามีภรรยา 3.ความชิดเชื้อเกื้อกูลใด ไม่เสมอด้วยพี่น้องตามกันมาวัฒนธรรมสังคมจีน อาจารย์ถาวร บอกว่า เป็นวัฒนธรรมสหพงษ์ ศูนย์กลางอยู่ที่ตระกูลแซ่ ต่างจากวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมอินเดียเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีคำตอบชัด ถึงการสืบทอดอำนาจของตระกูลการเมืองไทย คนที่ใช่ญาติถึงจะดีต่อกันอย่างไร ก็เป็นคนอื่น ยังสนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้สูงสุดมีเสียงกระซิบฝากสายลมมา...เดือนพฤษภาปีหน้า หมดอายุ สว.ระบบเก่า...จะหมดเวลาของคนนั่งเก้าอี้ใหญ่ ซึ่งไม่ใช่คนในตระกูล.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม