สังคมหันมาสนใจการใช้ชีวิตของคนหลังรั้วกำแพงสูงอีกครั้ง เมื่อ “อดีตนักการเมืองเบอร์ 1 ของประเทศไทย” ที่หนีคดี ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศนานกว่า 17 ปี ตัดสินใจทำหนังสือขอมอบตัวกับตำรวจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก่อนเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จนถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯแน่นอนว่า “ใครก็ตามเข้าไปอยู่หลังกำแพงสูงนี้ย่อมไร้ซึ่งอิสรภาพสิทธิต่างๆ” เพราะถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวดเสมือน “การใช้ชีวิตทุกย่างก้าวแต่ละวัน” ถูกกำหนดจับจ้องด้วยเจ้าหน้าที่เรือนจำให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยภายใต้ระเบียบกรมราชทัณฑ์นั้น อดีตผู้บริหารในกรมราชทัณฑ์ เล่าให้ทีมสกู๊ปหน้า 1 ฟังว่าขั้นตอนการรับตัวผู้ต้องขังใหม่เข้าเรือนจำ หลัง “ศาลมีคำพิพากษาความผิด” ตามปกติเจ้าหน้าที่เรือนจำต้องได้รับหมายอาญาหรือเอกสารคำสั่งแล้วค่อยจัดทำทะเบียนประวัติ ชื่อนามสกุล เลขประจำตัวประชาชน ตรวจสอบยืนยันเป็นผู้กระทำความผิดข้อหาหรือฐานความผิดนั้นจริง และบันทึกลายนิ้วมือนำตัวเข้าสู่ประตูเรือนจำ สำหรับประตูแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ ประตูหน้า...ทำการตรวจค้นหาสิ่งต้องห้ามนำเข้าเรือนจำเบื้องต้น ก่อนเข้าสู่ “ประตูแดนใน”...ที่ตรวจสิ่งผิดกฎหมายอย่างละเอียดซ้ำ ในสมัยก่อนผู้ต้องขังต้องเปลื้องผ้าเพื่อดูว่า“ไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งต้องห้าม” เพราะเคยมีการซ่อนยาเสพติดในทวาร “เจ้าหน้าที่” ต้องใส่ถุงมือยางล้วงตรวจรูทวารนำออกมาแต่ปัจจุบันเรือนจำ “ติดตั้งเครื่องเอกซเรย์” ทำให้การลักลอบสิ่งผิดกฎหมายเข้าในเรือนจำยากขึ้น ถ้าหากผู้ต้องขังมีทรัพย์สินสัมภาระติดตัวมาต้องฝากเจ้าหน้าที่จดบันทึกติดต่อญาติมารับหรือพ้นโทษก็มาขอรับคืนได้ เพราะกรมราชทัณฑ์มีสวัสดิการให้ภายใต้กฎระเบียบมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังถัดจากนั้น “เป็นการตรวจสุขสภาพร่างกาย จิตใจ และความรู้ความสามารถ” ก่อนเข้าสู่กระบวนการกักโรค 10-15 วัน “ครบกำหนดก็จะถูกย้ายเข้าแดนแรกรับ” อันจะมีเจ้าหน้าที่ทำการปฐมนิเทศ อบรม แนะนำให้ทราบถึง กฎระเบียบ วินัยข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมในเรือนจำยกเว้นผู้ต้องขังเห็นว่า “คดีอัตราโทษสูงหรือพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ” เพื่อความปลอดภัยในการควบคุมอาจถูกแยกขังไว้ต่างหาก แล้วในระหว่างอยู่แดนแรกรับนี้ก็จะมีผู้ต้องขังเดิมคอยเป็นพี่เลี้ยงดูแล 1-2 เดือน เมื่อครบกำหนดจะถูกจำแนกออกไปอยู่ประจำแดนต่างๆ ตามประเภทของการกระทำความผิดแต่ละคน ด้วยการแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มทำผิดความมั่นคงสูง เช่น คดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง 2.กลุ่มความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย 3.กลุ่มทำผิดความมั่นคงต่ำ เช่น คดีทั่วไป วิ่ง ลัก ชิง ปล้น 4.คดียาเสพติด แล้วในบางเรือนจำจะตรวจสอบประวัติผู้ต้องขังใหม่ว่ามีโจทก์หรือไม่ด้วย เพื่อแยกแดนไม่ให้เผชิญหน้ากันเป็นการป้องกันเกิดความวุ่นวายเมื่อแยกแดนแล้วภารกิจประจำวันต้องตื่นแต่ 05.00 น. สวดมนต์ไหว้พระ เวลา 06.00 น. ตรวจนับยอดลงห้องออกกำลังกาย อาบน้ำ กินข้าวเช้า เวลา 08.00 น. เข้าแถวเคารพธงชาติ แยกย้ายเข้ากองงาน ฝึกวิชาชีพ เรียนหนังสือส่วนใหญ่ผู้ต้องขังมักทำงานข้ามเวลาไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน แถมได้เงินปันผลตอบแทน มีความรู้วิชาชีพ หากพ้นโทษก็นำไปประกอบอาชีพได้ ทำให้ในเรือนจำมีโรงงานช่างเหล็ก ช่างไม้ ช่างกลึง แล้วนำผลผลิตออกขายเวลาถัดมา 11.30 น. เลิกงานกินข้าวมื้อเที่ยงเสร็จก็เข้ากองงานต่อจนเวลา 14.30 น. เลิกงานอาบน้ำและกินข้าวมื้อเย็น กระทั่งเวลา 16.00 น. เช็กยอดขึ้นเรือนนอน และเวลา 21.00 น. เข้านอนข้อดีการเข้ากองงานนี้ “มีผลต่อการเลื่อนชั้น” โดยเฉพาะงานด้านจิตอาสา มักได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ “กลุ่มถูกคัดเลือกส่วนใหญ่เป็นพวกโทษน้อย” เพื่อป้องกันการหลบหนีที่ไม่ใช่ใครอยากทำก็ไปได้เลย “ผู้ต้องขังแสดงให้เห็นว่ามีความประพฤติดี มีความอุตสาหะความก้าวหน้าในการศึกษาและทำการงานเกิดผลดี หรือทำความชอบแก่ทางราชการเป็นพิเศษก็อาจได้รับประโยชน์ด้วย เช่น ได้รับความสะดวกในเรือนจำตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ เลื่อนชั้น ได้รับแต่งตั้งให้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจำ” อดีตผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ว่าการเลื่อนชั้นแบ่งเป็น 6 ชั้น คือ ชั้นเยี่ยม ชั้นดีมาก ชั้นดี ชั้นกลาง ชั้นปรับปรุง และชั้นปรับปรุงมาก ฉะนั้นถ้าอยากพ้นโทษเร็ว “อย่าฝ่าฝืนระเบียบถูกตัดชั้น” จะทำให้ต้องอยู่ยืดยาวนานกว่าเดิม เพราะการเลื่อนชั้นมักถูกใช้ในการลดวันต้องโทษ เช่น ชั้นเยี่ยมลดโทษเดือนละ 5 วัน ชั้นดีมากลดเดือนละ 4 วัน ชั้นดีลดเดือนละ 3 วันกรณีผู้ต้องขังทำผิดวินัยจะถูกลงโทษอย่างเช่น 1.ภาคทัณฑ์ 2.งดการเลื่อนชั้น 3.ลดชั้น 4.ห้ามเยี่ยมเยียนติดต่อไม่เกิน 3 เดือน เว้นติดต่อทนายความ 5.งดประโยชน์และรางวัล 6.ขังเดี่ยว 7.ตัดวันได้รับลดวันต้องโทษประเด็น “การขอพระราชทานอภัยโทษ” เรื่องนี้แยกเป็น 2 ส่วน คือ “ขอพระราชทานอภัยโทษรายบุคคล” ผู้ต้องขังมีคำพิพากษาถึงที่สุดทำได้นับแต่วันแรกเข้าเรือนจำด้วยการยื่นคำร้องผ่าน ผบ.เรือนจำ กรมราชทัณฑ์ รมว.ยุติธรรม สำนักนายกฯ สำนักราชเลขาธิการ นำเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายเป็นฎีกาต่อองค์พระมหากษัตริย์ ต่อมา “การขอพระราชทานอภัยโทษเป็นหมู่ที่ทำในวันสำคัญ” จูงใจให้ผู้ต้องขังประพฤติอยู่ในระเบียบวินัย พัฒนาพฤตินิสัยกลับเป็นพลเมืองดีให้ได้รับการอภัยโทษตามความร้ายแรงคดี และลดหลั่นไปตามชั้นส่วนกรณีต้องโทษแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 “เป็นการขอพักโทษ” ลักษณะการปล่อยตัวนักโทษเด็ดขาดออกมาอยู่นอกเรือนจำก่อนครบกำหนดโทษ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการขอพระราชทานอภัยโทษถัดมาคือ “อาหารการกิน” ผู้ต้องขังเลือกได้ 2 กรณี คือ กรณีแรก... “ข้าวหลวง” เรือนจำจะจัดอาหารให้ครบ 3 มื้อทุกวัน แล้วปัจจุบัน “ดำเนินตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข” ทำให้อาหารมีคุณภาพมีสัดส่วนโปรตีนชัดเจนต่างจากสมัยก่อน เพียงแต่ว่า “ผู้ต้องขังเข้ามาอยู่ในเรือนจำใหม่” มักไม่คุ้นเคยกับรสชาติของอาหารโดยเฉพาะข้าวสารกล้อง 5% (ข้าวแดง) จึงมักไปซื้ออาหารจากร้านค้า ในเรือนจำรับประทาน เพราะแต่ละคนมีสิทธิ์ใช้เงินที่ฝากไว้ในบัญชีรูปแบบคูปองซื้ออาหาร และของใช้ประจำวันได้วันละไม่เกิน 200 บาทในส่วน “ผู้ต้องขังคดีการเมืองหรือผู้มีฐานะร่ำรวย” เมื่อเข้าสู่ในเรือนจำแล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของกรมราชทัณฑ์เช่นเดียวกับผู้ต้องขังทั่วไป “มิได้มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ต้องขังรายอื่น” แม้จะเคยเป็นบุคคลสำคัญทางสังคมก็ “ไม่มีห้องพิเศษสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง” เพื่ออำนวยความสะดวกได้แต่อย่างใดเพียงแต่ว่า “ผู้ต้องขังเก่ารู้จักคุ้นเคยเคารพไว้ใจเมื่อครั้งนอกเรือนจำ” แล้วมาเจอกันก็ขอให้มาอยู่ห้องนอนด้วยกันที่ไม่เบียดเสียดแน่นเพื่อช่วยดูแลเป็นการส่วนตัว ส่วนกิจวัตรประจำวันต้องทำดั่งคนอื่นทุกประการประการต่อมา “สิทธิการรักษาพยาบาล” ด้วยในเรือนจำทุกแห่งจะมีสถานพยาบาล และแพทย์คอยให้การรักษาโรคให้ผู้ต้องขังตามสมควร แต่ถ้าป่วยเกินขีดความสามารถของสถานพยาบาล ก็จะพิจารณาส่งตัวออกไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลนอกของรัฐจะเป็นอันดับแรก หรือส่งตัวไปรักษาที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ทว่าระบบส่งต่อ “ผู้ต้องขังป่วยไปรักษานอกเรือนจํา” มีทั้งแบบไป-กลับ วันเดียวด้วยการขออนุญาต ผบ.เรือนจํา ในการนําตัวผู้ต้องขังออกไปโรงพยาบาล แต่ถ้าแพทย์มีความเห็นว่า “ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล” เจ้าหน้าที่เรือนจำต้องขอใบแสดงความเห็นแพทย์นําเสนอต่อ ผบ.เรือนจํา พิจารณาอนุญาตต่อไปส่วนการจะอยู่พักรักษาตัวนานเพียงใด “เป็นดุลพินิจแพทย์ และความจําเป็นแห่งโรค อาการ” หากต้องพักรักษาตัวอยู่นาน “เจ้าหน้าที่เรือนจำ” ต้องเฝ้าควบคุม 2 นายต่อผู้ต้องขัง 1 คน เว้นแต่ผู้ต้องขังโทษสูง เช่น คดียาเสพติดรายใหญ่ คดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง หรือผู้มีอิทธิพล จำต้องแจ้งตํารวจเพื่อรักษาความปลอดภัยขณะนั้นการเยี่ยมผู้ต้องขังป่วยนี้ก็ปฏิบัติตามระเบียบเช่นเดียวกับ “การเยี่ยมในเรือนจำ” ผู้ทำหน้าที่ควบคุมต้องจดบันทึกข้อมูลบุคคลเข้าเยี่ยมและเวลาไว้โดยละเอียด เมื่ออาการดีขึ้นต้องถูกส่งมายังเรือนจำตามปกติแล้วถ้าอาการทรุดหนักก็สามารถขออนุญาต ผบ.เรือนจำ พิจารณาส่งตัวไปรักษาโรงพยาบาลนอกตามสมควรได้ทั้งหมดนี้คือ “ชีวิตคนหลังกำแพงเรือนจำ” ที่ถูกควบคุมด้วยระเบียบความมั่งคงสูง “อันไร้ซึ่งสิทธิเสรีภาพ”ฉะนั้นทุกคนควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ “อย่าประมาท” เพราะพลาดมาอาจต้องเสียหลักตลอดกาล.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม