“มีลุงไม่มีแล้ง” กลายเป็นคำขวัญที่ไม่ขลังเสียแล้ว เพราะแม้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะยังเป็นรองนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ แต่ยังเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ดินฟ้าอากาศทั้งร้อนทั้งแล้ง ฝนตกน้อยกว่าปกติ ขาดแคลนนํ้าในหลายภาคทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง นายอำเภอปากช่องที่เดินทางไปตรวจเขื่อนลำตะคอง บอกนักข่าวว่าตกใจมากเมื่อพบว่าปริมาณนํ้าลดลงทั้งคลอง กระทบถึงการทำไร่ของ 10 หมู่บ้าน 277,000 ไร่ ส่วนในภาคเหนือและภาคกลาง เกิดการขาดแคลนนํ้า เช่นในพื้นที่จังหวัดลำปาง และชัยนาทเลขาธิการสหประชาชาติประกาศว่า ขณะนี้ปัญหาของโลกเปลี่ยนจากภาวะ “โลกร้อน” เข้าสู่ “ยุคโลกเดือด” นักวิชาการเป็นห่วงว่าเอลนีโญอาจลากยาวจากปี 2566 ถึงปี 2568 เกิดผลกระทบรุนแรงกว่าที่คาด ปริมาณนํ้าระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนกรกฎาคม ตํ่ากว่าปกติทุกพื้นที่สำนักงานทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ เตือนว่าปีนี้มีฝนตกน้อยกว่าปกติประมาณ 40% รัฐบาลรักษาการไม่ได้นิ่งนอนใจ พล.อ.ประวิตร ในฐานะ ผอ.สำนักงานทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ ได้เรียกประชุมหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการแก้ปัญหา เช่น แนะนำเกษตรกรให้ปลูกพืชที่ใช้นํ้าน้อยและเก็บเกี่ยวเร็วผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าภาคที่จะถูกกระทบมากที่สุด คือภาคกลาง อู่ข้าวอู่นํ้าของประเทศ เป็นพื้นที่ที่มีระบบชลประทานทั่วถึง ภาคอีสานก็น่าจะได้รับผลกระทบมากเช่นเดียวกัน เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่นา ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวนา แต่ระบบชลประทานไม่ทั่วถึง ต้องพึ่งฝนฟ้าหรือเทวดาเป็นหลักชาวนาจะเป็นอาชีพที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการแผลงฤทธิ์ของเอลนีโญ ในอดีตประเทศไทยถือว่า “ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ” พรรคการเมืองบางพรรคชูคำขวัญ “ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน” เอลนีโญจะทำให้ผลผลิตข้าวไทยตกตํ่า การส่งออกข้าวลดลง ทั้งๆที่อินเดียห้ามส่งออกไทยเป็นประเทศที่ส่งข้าวออกเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอินเดีย แทนที่ไทยจะส่งออกข้าวได้มากขึ้น เพื่อชดเชยการห้ามส่งออกข้าวของอินเดีย แต่เอลนีโญทำให้ผลผลิตข้าวไทยลดลง และราคาอาจพุ่งขึ้น รัฐบาลใหม่จึงต้องเตรียมรับมือภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” เพราะข้าวคืออาหารหลักของคนไทย.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม